วันพุธ, พฤษภาคม 8, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSCall Out แกะรอย“ใคร”บงการ??? “บิ๊กตู่”เพิ่งตื่นสั่งสู้“เฟคนิวส์”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

Call Out แกะรอย“ใคร”บงการ??? “บิ๊กตู่”เพิ่งตื่นสั่งสู้“เฟคนิวส์”

ถ้าจะบอกว่าสถานการณ์ประเทศไทย ณ วันนี้วิกฤติหนักสุด อันเนื่องมาจากปัญหาเชื้อไวรัสร้าย “โควิด-19” จากตัวเลขผู้ติดเชื้อจากหลักร้อย กลายเป็นหลักหมื่น ส่วนผู้เสียชีวิตจากหลักหน่วย กลายเป็นหลักร้อย จึงไม่แปลกเมื่อมรสุม และปัญหาต่างๆถาโถมเข้าใส่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จนแทบโงหัวไม่ขึ้น

ถ้าถามใจฝ่ายค้าน ระหว่างการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางรัฐบาล กับการกดดันให้ “ผู้นำฝ่ายบริหารลาออก” เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เชื่อว่า ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลต้องการให้เกิดปรากฏการณ์อย่างหลังมากกว่า เพราะถ้าศึกซักฟอกเกิดขึ้น และในที่สุด “พล.อ.ประยุทธ์” ถึงทางตัน จะอย่างไรก็ตาม คงเลือกวิธียุบสภา ไม่เปิดโอกาสให้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แน่ๆ แม้ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) อยากให้เกิดใจจะขาด เพื่อจะได้เปิดทางให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) ฉบับใหม่ โดยผ่านกลไกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)

ด้วยคิดว่า หากเลือกตั้งภายใต้กฎกติกาเดิม รัฐบาลและบรรดาเครือข่ายผู้สนับสนุนยังได้เปรียบ แม้ “นายกฯลุงตู่” จะโบกมือลา บอกว่าพอแล้ว ไม่ขอกลับมาทำหน้าที่ผู้มีอำนาจสูงสุดอีกต่อไป แต่ฝ่ายตรงข้ามยังเชื่อว่า ขั้วอำนาจฝ่ายบริหารมีการตระเตรียมบุคคลจะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากบรรดาผู้มากบารมี รับไม่ได้กับแนวทางพรรคก้าวไกล (กก.) หนึ่งในพรรคร่วมฝ่ายค้าน

หลังประกาศตัวชัดเจน ให้การสนับสนุน “ม็อบราษฎร” ซึ่งใช้สัญลักษณ์ชูสามนิ้ว โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องคือ  ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการตรวจสอบการใช้งบประมาณสถาบัน จะสังเกตุได้ เวลามีการอภิปรายร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ส.ส.พรรค กก. จะลุกขึ้นมาอภิปราย เรื่องการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันเป็นประจำ เลยทำให้จุดแข็งในเรื่องมีมวลชนสนับสนุนอยู่ กลับกลายเป็นเป็นจุดอ่อน ขนาดพันธมิตรอย่าง “พรรคพท.” ยังไม่กล้าแสดงจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องปฏิรูปสถาบัน รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยรู้ดีประเทศไทยยึดขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ยากจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ในบางเรื่อง

อย่างไรก็ตามท่ามกลางวิกฤติ จนกลายเป็นวิบากกรรมซัดใส่รัฐบาล เมื่อล้มเหลวกับการรับมือ “โควิด-19” ระลอกที่สาม แต่ก็ยังมีภาพที่ดี ซึ่งมีผลต่ออยู่รอดของ “นายกฯลุงตู่” เพราะกองทัพซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ ต่างแสดงออก ด้วยการระดมสรรพกำลังช่วยเหลือรัฐบาลอย่างเต็มที่ เท่ากับเป็นส่งสัญญาณ “ผู้มากบารมี” ยังให้การสนับสนุนรัฐบาลอยู่ ซึ่งมีนัยยะสำคัญ และมีความหมายมาก เนื่องจากในอดีตรัฐบาลชุดไหนไม่เป็นที่ยอมรับจากกองทัพ มักถูกลอยแพจากต่อต้าน ถูกปฏิเสธการมีอยู่ พบจุดจบด้วยความเลวร้าย ตัวอย่างคือรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และฝ่ายบริหารที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำ

อนุทิน ชาญวีรกูล-ศักดิ์สยาม ชิดชอบ cr : www.thaigov.go.th

ขณะที่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลหลักอย่าง “ภูมิใจไทย” (ภท. ) และ “ประชาธิปัตย์” (ปชป.) ก็ยังประกาศจุดยืนสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เพราะรู้ดีว่า ถ้าเล่นบทโดดหนีเอาตัวรอด ในอนาคตก็ยากจะมีใครคบ ยิ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าพลังประชารัฐ (พปชร.) บวก “ภท.” และ “ปชป.” ได้เสียงส.ส.ร่วมกัน เกิน 250 เสียงหนทางที่จะกลับมาเป็นรัฐบาล ก็ยังมีความเป็นไปได้สูง

จึงไม่แปลกที่ฝ่ายตรงข้าม จะหาหนทางดิสเครดิต โจมตีทุกรูปแบบ ยิ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อจากโควิด-19 และจำนวนผู้เสียชีวิตยังสูงอยู่ อีกทั้งมาตรการล็อคดาวน์ของรัฐบาล ก็สร้างผลกระทบให้กับคนหลากหลายกลุ่มอาชีพ รวมถึงศิลปิน ดารา นักร้อง และบุคคลในแวดวงบันเทิง เพราะในเมื่อสถานบริการสถานบันเทิงถูกปิดหมด รายได้ย่อมไม่มี บางคนเคยใช้ชีวิตสุขสบาย ก็ต้องมาแบกรับภาระอันหนักอึ้ง

ดังนั้นจึงเกิดปรากฏการณ์ คนดังมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง และหลากลายวงการรวมทั้งเซเลบคนดัง ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น ผ่านรูปแบบ Call Out อีกทั้งบางส่วนยังสร้างแรงกดดัน ไปยังบุคคลมีชื่อเสียง ให้มาร่วมแสดงท่าทีวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทั้งเรื่องการบริหารงาน การฉีดวัคซีน คุณภาพตัวยาป้องกันไวรัสร้าย พอใครบางคนนิ่งเฉย ไม่ทำตามคำร้องขอ ก็ถูกด่าอย่างสาดเสียเทเสีย กลายเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ใครไม่เห็นต่างถูกบรรดา “พ่อมด-แม่มด” ไล่ล่าในโลกโซเชียล

ขณะที่การออกมา Call Out ของคนดังๆ ก็เริ่มมีกระแสข่าวลบออกมา หลัง ศิลปินบางค่าย เรียงหน้ากันออกมามากจนผิดสังเกตุ มิหนำซ้ำยังมีเสียงร่ำลือ ทายาทศิลปินระดับตำนาน ซึ่งเป็นนักร้องวัยรุ่นถูกยื่นข้อเสนอ ให้ออกมาวิจารณ์รัฐบาล แลกกับการได้งานในวงการบันเทิง แต่นักร้องคนดังไม่เล่นด้วย จนกลายเป็นปริศนาและคำถาม นักร้องวัยรุ่นคนดังกล่าวเป็นใคร???

นอกจากนี้ใน แวดวงหน่วยงานด้านการข่าว ระบุว่า การออกมา Call Out ของดารา-นักร้องนั้น บางคน บางส่วน เกิดจากความคิดเห็นตัวเอง แต่บางคนเกิดจากการจัดตั้ง โดยมี นักธุรกิจชื่อดังด้านบันเทิง ไปกดดันนักร้อง-ดาราในสังกัดเครือข่ายตัวเอง ให้ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แลกกับการได้งาน มีค่าตอบแทน โดยมี “แพลตฟอร์ม” กำหนดไว้ให้ ที่สำคัญนักธุรกิจรายนี้ยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับ “คนแดนไกล” พูดง่ายถ้าสำเร็จ เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล งานนี้คงมีของรางวัลสมนาคุณ ชนิดที่เรียกว่า “ชาตินี้ไม่มีวันลืม”

แต่ใครติดตามข่าวสารบ้านเมืองคงรู้ว่า อาชญากรย่อมไม่ทิ้งหลักฐาน อาชญากรรมย่อมยากกับการตามหาร่องรอย จากนี้ต้องขี้นอยู่กับรัฐบาล หลังตกเป็นเป้านิ่ง ถูกล้อมด้วยกระแสข่าวลบ จะแยกแยะได้หรือว่า ใครเป็นศัตรู-ใครเป็นมิตร

พล.ต.ต. ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.)

ขณะที่ “พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ในฐานะ โฆษก บช.น. กล่าวถึงกรณีการดำเนินคดีกัน “ดารา-นักแสดง และผู้มีชื่อเสียง” กรณีการออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองว่า การแสดงความคิดเห็นต่างๆ นั้น สามารถทำได้ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนไทย แต่การแสดงความคิดเห็นต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย

ส่วนกรณีที่นายอภิวัฒน์ ขันทอง ได้แจ้งความเอาผิดกับดารา นักร้อง และผู้มีชื่อเสียง ประมาณ 3 คนในพื้นที่ สน.นางเลิ้ง เมื่อวันก่อน มีหนึ่งรายคือ น.ส.ดนุภา คณาธีรกุล หรือ “มิลลิ” แร็ปเปอร์สาว ซึ่งได้เข้าพบตำรวจเปรียบเทียบปรับเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีก 2 คน คือ นายยุทธเลิศ สิปปภาร หรือ “ต้อม ยุทธเลิศ” ผู้กำกับชื่อดัง ขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ส่วน นางสาวพัชรพร จันทรประดิษฐ์ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปี 2020 ขอเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ในวันที่ 5 ส.ค.นี้

สำหรับความผิดของการ Call Out  หรือการแสดงความคิดเห็นนั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนขึ้นอยู่กับข้อความและคำพูดของแต่ละบุคคล ส่วนแรก ความผิดฐานดูหมิ่นโดยการโฆษณา และส่วนที่ 2 ข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นข้อหาลหุโทษ ยอมความกันได้เปรียบเทียบปรับได้ตามกฎหมาย และส่วนที่ 3 ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ในส่วนของการดำเนินคดีตามกฎหมาย ก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน แต่ที่กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ สำหรับศิลปินดาราบางคน ซึ่งอาจเกิดปรากฏการณ์ทางการจีน “แบนดาราไทย” หลังออกมาแสดงความเห็น “ด้อยค่าวัคซีน” จากมหาอำนาจเอเชีย

อย่าลืมที่ผ่านมา ดาราไทยได้รับความนิยมจากคนจีน ถูกดึงไปร่วมแสดงละคร ไปรับงานอีเวนท์สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ถ้ารายได้ตรงนี้ต้องหายไป อันเนื่องมาจากการแสดงจุดยืนทางการเมือง ที่ไม่เหมาะสมไม่รู้จักกาลเทศะ ก็คงกลายเป็นวิบากกรรม ที่ยากจะลืมได้จริงๆ

เหนือสิ่งอื่นใด หลังการประชุมครม. เมื่อวันที่ 27 ก.ค. “พล.อ.ประยุทธ์” ได้สื่อสารผ่านเฟซบุ๊ก โดยสั่งการในที่ประชุมครม.จัดการเรื่อง “ข่าวปลอม” ว่า ขณะที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาโควิด-19 และหน่วยงานรัฐกำลังแก้ไขสถานการณ์กันอย่างเต็มที่ แต่เรากลับต้องเผชิญกับ ปัญหาข่าวปลอม หรือ “เฟคนิวส์” ที่กำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญ ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคมเป็นอย่างมาก

cr : www.teenee.com

มีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือการจงใจตัดต่อบิดเบือนคำพูดเพื่อสร้างความเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก ทั้งจาก สื่อมวลชน ผู้มีชื่อเสียง และ ผู้ใช้สื่อทั่วไป ทั้งที่ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน ขอเรียนให้ทราบว่า ตนให้ความสำคัญกับการจัดการข่าวปลอม ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างยิ่ง

และได้สั่งการโดยตรงให้แต่ละกระทรวง ดำเนินการ แก้ปัญหาข่าวปลอม อย่างจริงจังและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และขอให้รายงานความคืบหน้าก่อนการประชุม ครม. ทุกครั้ง

ต้องรอดูว่า ออกมาเล่นบทรุกสู้ข่าวปลอม เดินหน้าชน Call Out จะหยุดกระแสการโหมกระหน่ำข่าวเท็จ จากฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่ แต่ตราบใดยังเปิดหน้า “จอมบงการ” ไม่ได้ ก็คงต้องผจญกับการสู้รูปแบบสงครามกองโจรไม่จบไม่สิ้น!!!

……………………..

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…..“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img