วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกNEWSมท.1เล็งขยายพื้นที่เปิดผับตี4เพิ่ม หลังทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

มท.1เล็งขยายพื้นที่เปิดผับตี4เพิ่ม หลังทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ

รมว.มหาดไทยเผยทุกคนให้ความร่วมมือดี ในการจัดโซนเปิดสถานบันเทิง ถึง ตี 4 เล็งขยายพื้นที่เพิ่ม ถ้าทุกอย่างเกิดประโยชน์

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจ.มหาสารคามลักลอบเปิดบริการเกินเวลาที่กำหนด และไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ขยายเวลาเปิดบริการ ว่า  จ.มหาสารคามอยู่นอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ขยายเวลา อีกทั้งถ้าร้านดังกล่าวจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเปิดเกินเวลาหลังเวลา 24.00 น. ก็ต้องถูกดำเนินคดี เพราะอยู่นอกโซนที่ได้รับอนุญาต ขณะที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ต้องกวดขัน ทั้งนี้ จากการที่ตนและเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสถานบันเทิง พบว่าทุกคนให้ความร่วมมือ และกฎหมายทำให้เกิดความปลอดภัยได้ถ้าทุกคนปฏิบัติตาม และดื่มไม่ขับ ขณะที่นักท่องเที่ยวก็มีสำนึกความรับผิดชอบร่วมกันที่จะบางคนไม่ดื่มเพื่อพาเพื่อนกลับบ้าน ถ้าอย่างนี้ ก็ไม่มีอันตรายเหมือนกับที่โทษกันว่าสาเหตุมาจากการเปิดผับบาร์ถึงเวลา 04.00 น.

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนร้านที่ไม่มีใบอนุญาตก็ต้องปิดเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน นอกจากนี้ ถ้าทุกคนร่วมมือและรักษาระเบียบ ก็ต้องหาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ มิฉะนั้นจะเอื้อให้ผู้ที่มีใบอนุญาตซึ่งมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องไปคิดต่อว่าในเมื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นการกระตุ้นแน่นอนในพื้นที่โซนนิ่งที่ได้รับอนุญาต ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่เฉพาะได้เที่ยว แต่ผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น คนขับรถ บริกร ก็สามารถรับลูกค้าเพิ่มขึ้นได้ ขอย้ำว่าหากรักษาระเบียบและมีเจ้าหน้าที่ดูแล ก็น่าจะเป็นผลดี และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องมาคิดกันว่าอาจมีการขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ตอนนี้ต้องดูสถานการณ์ก่อนว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งการจะขยายพื้นที่อนุญาตขยายเวลาเปิดบริการได้เพิ่มเติมหรือไม่ ต้องดูสถานการณ์และดูเป็นกรณี ถ้าเราได้รับความร่วมมือจากทุกคนและทุกฝ่าย การรักษากฎหมายมีประสิทธิภาพก็ต้องหารือนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้สั่งการให้ใช้นโยบายเหล่านี้

นายอนุทิน กล่าวว่า ทั้งนี้ หากทุกอย่างดูแล้วเหมาะสม มีความพร้อมของทุกฝ่าย ก็สามารถทำได้ และที่สำคัญต้องดูว่ากฎหมายให้ทำได้แค่ไหน แต่เรื่องยากคือการแก้ไขพระราชบัญญัติ เพราะมีกระบวนการที่ต้องเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตามขอย้ำว่าถ้าทุกอย่างมีประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิด ก็น่าจะทำ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img