วันจันทร์, พฤษภาคม 6, 2024
หน้าแรกHighlight“ซูเปอร์โพล”ชี้คนไทยเกือบ 27 ล้านคน!! เงินในกระเป๋าอยู่ในขั้นวิกฤต-คนอีสานนำ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ซูเปอร์โพล”ชี้คนไทยเกือบ 27 ล้านคน!! เงินในกระเป๋าอยู่ในขั้นวิกฤต-คนอีสานนำ

“ซูเปอร์โพล” ฟันฉับ คนไทยเกือบ 27 ล้านคน ชี้การเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤต “คนอีสาน” นำโด่ง ตามติดด้วย “คนใต้” พร้อมระบุชัดถ้าได้รับแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต กังวลเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์มากที่สุด

เมื่อวันที่ 11 ก.พ.67 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง “จำนวนคนไทย ในวิกฤตการเงิน” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,146 ราย ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 7-10 ก.พ.67 ที่ผ่านมา

จากการประมาณการทางสถิติกลุ่มประชากรคนไทยอายุ 16-85 ปีมีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 53,417,480 คน ที่ระบุการเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤต พบว่า ประมาณครึ่งต่อครึ่ง หรือร้อยละ 50/50 ที่บอกว่าเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤต กล่าวคือคนไทยเกือบ 27 ล้านคน คือจำนวน 26,975,827 คน หรือร้อยละ 50.5 ระบุการเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤต ในขณะที่อีกร้อยละ 49.5 ระบุไม่อยู่ในขั้นวิกฤต

เมื่อแบ่งออกจากภูมิภาค พบว่า คนในภาคอีสานส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 77.9 ระบุการเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤตมากที่สุด รองลงมาคือคนในภาคใต้คือร้อยละ 66.3 คนในภาคกลางร้อยละ 47.2 คนในภาคเหนือร้อยละ 35.8 และคนในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 30.8 ระบุการเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤต

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงข้อกังวล ถ้ามีการแจกเงินดิจิทัลจริง พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 32.7 กังวลต่อความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ พวกมิจฉาชีพออนไลน์ รองลงมาคือร้อยละ 32.7 เช่นกัน กังวลภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของราคาแพง ร้อยละ 30.7 กังวลการทุจริตเชิงนโยบาย ร้อยละ 24.2 กังวลการสวมสิทธิ์ ร้อยละ 22.6 กังวลความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้รับความเสียหาย ร้อยละ 21.7 กังวล ประชาชนเสียวินัยการเงิน ขาดความรับผิดชอบ ร้อยละ 19.2 กังวล ประชาชนผู้ห่างไกล เทคโนโลยี เข้าไม่ถึงการแจกเงินนี้ และร้อยละ 14.9 กังวลประเทศสูญเสียโอกาส พัฒนาที่ยั่งยืน ตามลำดับ

ที่น่าพิจารณาคือ ถ้าวันนี้เลือกตั้ง ประชาชนสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนเลือกพรรคในรัฐบาล เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเดือนม.ค.67 ที่ผ่านมา กับเดือนก.r.67 นี้ พบว่า ประชาชนกลับไปจากฝ่ายสนับสนุนและไม่สนับสนุน ไปขออยู่ตรงกลาง ไม่ฝักใฝ่ กล่าวคือ กลุ่มสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 40.5 ในเดือนม.ค.67 ไปอยู่ที่ร้อยละ 31.2 ในขณะที่กลุ่มไม่สนับสนุนก็ลดลงเช่นกันคือจากร้อยละ 39.3 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 15.4 น่าจะเป็นผลมาจากการที่คนไทยสองกลุ่มเริ่มหันหน้ามาเผชิญหน้ากันในหลายมิติ ทั้งจากนโยบายรัฐบาลและไม่เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล แต่กลุ่มคนที่ขออยู่ตรงกลาง ไม่ฝักใฝ่ กลับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20.2 ในเดือนม.ค.67 มาอยู่ที่ร้อยละ 53.4 ในการสำรวจครั้งล่าสุด

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img