วันจันทร์, เมษายน 29, 2024
หน้าแรกHighlightสธ.แลกวัคซีน AZ กับ LAAB 2.5 แสนโดสฉีดให้กับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สธ.แลกวัคซีน AZ กับ LAAB 2.5 แสนโดสฉีดให้กับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ

“อนุทิน” เป็นสักขีในพิธีลงนามสัญญาจัดหาแอนติบอดีสำเร็จรูป 2.5 แสนโดส เพื่อใช้ป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือปลูกถ่ายไขกระดูกและได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

เมื่อวันที่ 6 ก.ค.65 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามสัญญาจัดหาแอนติบอดีสำเร็จรูป แบบ Long Acting Antibodies (LAAB) เพื่อการป้องกันโควิด 19 ระหว่าง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารทั้ง 2 หน่วยงานเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

นายอนุทินกล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้ลงนามจัดหาวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์ เพื่อเข้ามาสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่คนในประเทศ อย่างไรก็ตามยังมีประชากรบางกลุ่มที่รับวัคซีนแล้ว ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีหรือภูมิคุ้มกันตกลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิดแล้วป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้  ดังนั้น ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการจัดหาแอนตีบอดีสำเร็จรูป แบบ Long Acting Antibodies (LAAB) มาใช้ในการดูแลกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว เพื่อป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด 19

สำหรับ LAAB เป็นแอนติบอดีที่ออกฤทธิ์ยาว มีส่วนประกอบ 2 ชนิด คือ Tixagemab 150 มิลลิกรัม และ Cilgavimab 150 มิลลิกรัม ผ่านการรับรองใช้แบบในภาวะฉุกเฉินที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษแล้ว ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทยได้อนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินเช่นกันเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2565 มีข้อบ่งใช้ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ ตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป มีน้ำหนักตัวไม่น้อยกว่า 40 กิโลกรัม โดยให้ก่อนการสัมผัสโรค ด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 6 เดือน มีประสิทธิผลร้อยละ 83 ในการลดความเสี่ยงอาการรุนแรงของโควิด และจากการศึกษาพบว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์

นายอนุทินกล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้จะจัดหาแอนตีบอดีสำเร็จรูป หรือ LAAB เข้ามาจำนวนกว่า 2.5 แสนโดส โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการจัดหาเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการลงนามขอปรับสัญญากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) เพื่อเปลี่ยนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าบางส่วนมาเป็น LAAB ภายในกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ ครม.อนุมัติ ซึ่งทำให้เรามีทั้งวัคซีนและแอนตีบอดีสำเร็จรูปมาดูแลประชาชนได้ครอบคลุมมากขึ้น

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์  อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงแนวทางการกระจายและการเข้าถึงบริการของภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB ว่า เราเชิญทางโรงเรียนแพทย์เช่น จุฬาฯ รามาฯ ศิริราช รวมถึงราชวิทยาลัยต่างๆ มาหารือว่าจะใช้ในกลุ่มไหน ซึ่งเดิมในการศึกษาเราใช้ในกลุ่มที่เป็นโรคไตเรื้อรังที่ต้องฟอกไตว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ แต่ทางผู้เชี่ยวชาญทางโรงเรียนมาหารือก็อยากเพิ่มกลุ่มปลูกถ่ายอวัยวะ

เนื่องจากกลุ่มนี้กว่าจะได้อวัยวะมาก็ยาก แม้การศึกษาเบื้องต้นอาจจะยังไม่คุ้มค่าแต่ไม่ได้ดูเรื่องคุณภาพชีวิต จึงขอให้เพิ่มกลุ่มนี้ด้วย เราก็จะใส่เพิ่มเข้าไป กลุ่มเป้าหมายสามารถเพิ่มได้ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ หลังจากกำหนดกลุ่มเป้าหมายแล้วก็เชิญ สปสช. ซึ่งอยู่ในคณะมาหารือว่าแต่ละจังหวัดมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเท่าไร ซึ่ง สปสช.มีข้อมูลอยู่แล้ว ก็จะกระจายตามสัดส่วนลงไป ส่วนผู้ป่วยกลุ่มอื่นที่เพิ่มเข้ามาจะขอข้อมูลเพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นยาตัวใหม่ใช้ได้ทั้งการป้องกันและการรักษา ซึ่งทางบริษัทยื่น อย.ในเรื่องการใช้ในการป้องกัน แต่ทราบว่าน่าจะยื่นเรื่องการรักษาเพิ่มเติมในเดือนนี้ ทางอาจารย์โรงเรียนแพทย์หลายท่านก็อยากนำไปศึกษาวิจัยเพิ่มเติมว่าประสิทธิภาพเป็นอย่างไร รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ด้วย ส่วนจำนวนตัวเลขชัดๆ ว่าจะกระจายเท่าไร น่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์นี้

“ผู้ป่วยกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ก็จะเหมือนวัคซีนโควิดที่เราส่งไปที่จังหวัดเพื่อให้ไปกระจายต่อตามจำนวนผู้ป่วยที่มีข้อมูลของ สปสช. ส่วนโรงเรียนแพทย์จะเน้นการศึกษาวิจัยมากกว่า จะได้ดูกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นและได้ประโยชน์ด้วย เนื่องจากเป็นยาใหม่ความรู้การนำมาใช้ในประเทศยังน้อย  ประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับเพราะ อย.ขึ้นทะเบียนแล้ว แต่จะใช้ในกลุ่มเป้าหมายไหนให้เหมาะสมต้องศึกษากันต่อไป” นพ.โอภาสกล่าว

เมื่อถามว่าการฉีดในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ต้องฉีดทุก 6 เดือนเหมือนกันหรือไม่ นพ.โอภาสกล่าวว่า เบื้องต้นขึ้นทะเบียนฉีดไป 1 ครั้งฤทธิ์จะอยู่ได้นาน 6 เดือน แต่จากนั้นต้องฉีดต่อหรือไม่ต้องดูอีกครั้ง เนื่องจากเราต้องดูตามสถานการณ์การระบาดด้วย ช่วงนี้น้าจะเหมาะที่สุดเพราะโรคกำลังระบาด แต่สมมติครบ 6 เดือนแล้ว โรคยังไม่ระบาดก็อาจจะดูอีกครั้งก่อนได้ จะดูประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และสถานการณ์การระบาด ซึ่งเรื่องความปลอดภัยเป็นแอนติบอดีร่างกายไม่ต้องมีปฏิกิริยากับมัน หากเป็นวัคซีนเราฉีดเชื้อโรคเข้าไปร่างกายสู้กับเชื้อโรคแล้วสร้างภุมิ นี่ฉีดภูมิโดยตรง ผลข้างเคียงก็จะน้อยกว่า ข้อดีคือกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเปราะบาง บางทีเขากลัวการฉีดวัคซีนเพราะจะไม่สบาย ร่างกายจะอ่อนแอเลยไม่ค่อยอยากฉีด จึงเหมาะกับกลุ่มนี้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามถึงสัดส่วน LAAB 2.5 แสนโดส แลกเปลี่ยนกับวัคซีนแอสตร้าฯ จำนวนเท่าไร  นพ.โอภาสกล่าวว่า LAAB จำนวน 2.5 แสนโดส ประมาณ 6 พันกว่าล้านบาท เปลี่ยนกับวัคซีนเป็นจำนวนเท่าไรนั้น ตัวเลขชัดๆ ยังไม่แน่ใจ แต่หากเป็นราคาก็พบว่าทำให้การจ่ายเงินลดลงหรือประหยัดไปมากกว่า 100 ล้านบาท ก็ไม่ต้องขอ ครม.ในงบประมาณเพิ่มเติม.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img