วันอาทิตย์, เมษายน 28, 2024
หน้าแรกHighlightชี้แจงสภาครั้งแรกยันให้ความสำคัญ FTA ‘นายก’ชูดึงนักลงทุนข้ามชาติตั้งฐานผลิต
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ชี้แจงสภาครั้งแรกยันให้ความสำคัญ FTA ‘นายก’ชูดึงนักลงทุนข้ามชาติตั้งฐานผลิต

“นายกฯ” ลุกแจงสภาฯครั้งแรก ยันรบ.ให้ความสำคัญ FTA ดึงนักลงทุนข้ามชาติตั้งฐานผลิต ยันเรื่องค่าแรงไม่ใช่เหตุผลหลัก เดินหน้าเจรจา ดึงนักลงทุนต่อเนื่อง ยกระดับชีวิตคนไทย เผยเตรียมเจรจา “ฮุน มาเนต” 7ก.พ.นี้ เคลียร์ปมพื้นที่ทับซ้อน ‘ไทย-กัมพูชา’ ยันเป็นขุมทรัพย์

เมื่อวันที่ 3 ม.ค.67 เวลา 17.10 น.ที่รัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯครั้งแรก ว่าขอขอบคุณสำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ที่ สส. ได้ให้คำแนะนำมา ซึ่งมีหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ และมีหลายเรื่องที่ตนขอขยายความ โดยเรื่องของ FTA หรือสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่กับประเทศกลุ่มยุโรป หรือประเทศอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณเผื่อไว้เรียบร้อยแล้ว โดยภายหลังที่ตนได้เดินทางไปคุยกับบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ประเด็นสำคัญที่บริษัทเหล่านั้นจะมาตั้งฐานผลิต เรื่อง FTA ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นเรื่องที่เราล้าหลังกับประเทศคู่แข่ง เช่นประเทศเวียดนาม ซึ่งรัฐบาลก็ตระหนักดี แต่ก็เป็นประเด็นที่ความเสี่ยง ถ้าเกิดเราไม่เร่งทำ ไม่เร่งเจรจา เพื่อให้บรรลุผลได้ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะย้ายฐานผลิต ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของค่าแรงที่จะใช้มาเป็นเหตุผลในการย้ายฐานผลิต แต่เหตุผลที่เขาจะย้ายเพราะเรามีความคืบหน้าน้อยมาก ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่าน ในการเจรจาเรื่อง FTA เรื่องจุดยืนของประเทศไทยในเวทีโลก ที่ปัจจุบันนี้มีความเปราะบางอย่างสูง ซึ่งประเทศไทยเรามีจุดยืนก็คือ ความเป็นกลาง

นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องที่มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เช่นเรื่องสงครามระหว่างประเทศอิสราเอล และกลุ่มฮามาสก็ตามที ซึ่งเราเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทำร้าย แต่เราก็ใช้การทูต การเจรจา การพูดจา ที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย โดยมีจุดยืนก็คือความเป็นกลาง โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ที่ตนได้มีโอกาสพบปะหลายครั้ง และมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว ซึ่งปลายเดือนที่แล้วก็ไปรับประทานอาหารด้วยกัน และก็ได้ขอร้องให้ท่านช่วยดูแลตัวประกันชาวไทยอีก 8 คน ที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวออกมา ซึ่งเมื่อไหร่ที่มีการหยุดยิงเกิดขึ้น รัฐบาลเขาจะเร่งเจรจาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเพื่อนๆ สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศของตน เชื่อว่าเป็นที่ประจักษ์ที่รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย ให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ยกระดับรายได้ของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลทำมาแล้ว 100 กว่าวัน และจะทำต่อไป โดยหลายๆ เคสก็ประสบความสำเร็จ แต่ก็อาจจะมีความเปราะบาง มีความเสี่ยงอยู่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเราไม่ได้แข่งขันกับตัวเราเอง แต่แข่งขันกับเพื่อนบ้าน

“อย่าลืมว่าประเทศไทยไม่ได้มีแค่ นโยบายทางด้านการภาษี เรามีหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีดีกว่า มีโรงเรียนนานาชาติที่เหนือกว่าเขา มีระบบเพื่อสุขภาพที่เป็นระบบเวิลด์คลาส ซึ่งการที่นักลงทุนต่างชาติจะมาอยู่ในประเทศไทย เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้จะเดินหน้าต่อไป จะมุ่งมั่น ในการที่จะนำบริษัทข้ามชาติที่มีศักยภาพ ในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยอย่างต่อเนื่องเรื่องของทุนมนุษย์ ที่ตนไปเจรจามาในหลาย ๆ ประเทศ ไม่ได้จะเอามาแค่เม็ดเงินเข้ามา หรือเอาแค่ผลิตภัณฑ์เข้ามาผลิตในประเทศไทย หนึ่งในข้อตกลงนั้นเราจะมีการให้พวกเขาเข้ามาสร้าง Trading Center ด้วย มีการมาสร้างทักษะพิเศษที่ประชาชนชาวไทยยังขาดอยู่บ้าง เพื่อให้คนของเราพัฒนา และสามารถเข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ๆ อุตสาหกรรมที่มีรายได้ดี ทำให้พี่น้องประชาชนมีรายได้สูงขึ้น”นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า เรื่องของประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน มีประชากรใกล้เคียงกับเราประมาณ 70 ล้านคน มีเขตชายแดนติดกลับประเทศไทยประมาณ 2,000 กิโลเมตร ถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้ประเทศเมียนมา ประสบปัญหา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะไปพูดคุยเจรจา และตกลงกันว่าจากความเห็นชอบสมาชิกของอาเซียน ว่าเราจะต้องตั้งคณะกรรมการ เพื่อ จะดูแลผู้ที่เปราะบาง ให้พวกเขาเหล่านั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี โดยประเทศไทยเป็นผู้นำในการเจรจาในด้านนี้ ซึ่งเรื่องนี้ยังมีนัยยะสำคัญอีกมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องของการค้าชายแดน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเจรจาที่จะทำให้ฝุ่น pm2.5 ลดน้อยลงไป หรือจะเป็นเรื่องของการค้ายาเสพติด

“เรื่องของ OCA หรือพื้นที่ทับซ้อน ที่ประเทศไทยกำลังเจรจาอยู่อย่างต่อเนื่อง กลับประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศ ที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี ตัวอยู่ใน Agenda มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในวันที่ 7 ก.พ.นี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะถูกขึ้นมาพูดคุยกัน เรานั่งอยู่บนขุมทรัพย์ที่มีมูลค่าอยู่หลายล้านล้าน ก็คิดว่าเราควรที่จะมีการพูดคุยกันได้ และตรงกันได้”นายกฯ กล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img