วันอาทิตย์, เมษายน 28, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTS22 ส.ค.วันโหวตเลือกนายกฯคนที่ 30 เดิมพันชีวิต“เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

22 ส.ค.วันโหวตเลือกนายกฯคนที่ 30 เดิมพันชีวิต“เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน”

ถึงตอนนี้ เชื่อได้ว่า ทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน-ทักษิณ ชินวัตร-แกนนำพรรคเพื่อไทย” แม้จะแสดงออกภายนอกว่ามั่นใจ ผลการโหวตนายกรัฐมนตรีของที่ประชุมร่วมรัฐสภา วันอังคารที่ 22 ส.ค. ผลจะออกมา โดย เพื่อไทย ได้ขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังว่างเว้นการคุมอำนาจรัฐมายาวนานเก้าปีเต็มนับแต่ปี 2557 โดยมี “เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน” เป็นผู้นำรัฐบาลเพื่อไทย เพราะได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่คือ 375 เสียงขึ้นไป 

แต่ทว่า หากถามในใจลึกๆ ของ “เศรษฐา-ทักษิณ-แกนนำเพื่อไทย” ที่บอกว่า ผลโหวตจะออกมาแบบ “ม้วนเดียวจบ-เศรษฐาเข้าวิน” แต่ลึกๆ ในใจของคนทั้งหมดข้างต้น ก็เชื่อว่า ต่างไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าใดนัก แต่ต้องแสดงออกแบบเชื่อมั่นไว้ก่อน เพราะหากขืนบอก ไม่มั่นใจหรือยังห้าสิบ-ห้าสิบ ก็เสียทรงการเมือง จะทำให้การเจรจาต่อรองตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นๆ โดนบีบเพื่อต่อรองขอโควต้ารัฐมนตรี จนหน้าเขียวได้ จึงต้องแสดงออกว่า มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์

เพราะแม้ตอนนี้ แกนนำเพื่อไทย จะปิดดีลกับ “พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยแลกกับการยอมถูกด่า-เสียดสี-กดดันสารพัด แม้แต่กับแฟนคลับเพื่อไทยเอง ที่ไม่พอใจกับการที่ “เพื่อไทย” ไปเอา “พรรค 2 ลุง” มาร่วมรัฐบาล เพื่อแลกกับ 40 เสียงของพลังประชารัฐและ 36 เสียงของรวมไทยสร้างชาติ จนทำให้เพื่อไทย มีหน้าตักเสียง สส.ราวๆ 314-315 เสียง

พล.ต.อ.พัชรวาท-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ แกนนำเพื่อไทย ต้องการมากกว่าแค่เสียงสส. พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ รวมกัน 76 เสียงแล้ว นั่นก็คือ “เสียงสมาชิกวุฒิสภา” ในสายป่ารอยต่อฯ ที่อยู่ในคอนโทรลของ “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่ขั้นต่ำ เพื่อไทยเชื่อว่า ก็ต้องมีสว.ที่ต้องเกรงใจ “ลุงป้อม” และอยากให้พลังประชารัฐได้ร่วมรัฐบาล และให้น้องชายลุงป้อม “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ได้เป็นรัฐมนตรี อย่างน้อยๆ 30-40 เสียง ก็น่าจะมาช่วยโหวตให้เศรษฐา

รวมถึงสว.สายลุงตู่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ก็ย่อมไม่อยากให้ พรรคลุงตู่เดิม “รวมไทยสร้างชาติ” แพแตก หากรวมไทยสร้างชาติต้องเป็นฝ่ายค้าน ก็น่าจะโหวตให้เศรษฐาด้วยเช่นกัน ตลอดจน สว.สายที่มีจุดยืน-แนวทางคือ พร้อมโหวตให้กับนายกฯจากทุกพรรคที่รวมเสียงส.ส.ได้เกินกึ่งหนึ่ง และไม่มีนโยบายแก้ 112

ซึ่งรวมๆ แล้วสว.ทั้งสามกลุ่มนี้ “เพื่อไทย” เชื่อว่า ยังไง ก็น่าจะเกิน 60 เสียง ที่ก็เพียงพอแล้ว ในการทำให้ “เศรษฐา” ได้เสียงเกิน 375 เสียง จนได้เป็นนายกฯ

เว้นเสียแต่จะมีการ “หักหลัง-นัดแล้วไม่มา” กันในกลุ่มพรรคตั้งรัฐบาล เช่น มีการส่งซิกจากคนที่คุมเสียงสว.ในสภาสูงได้ ที่อยู่ในสายป่ารอยต่อฯ ให้ไม่โหวตให้เศรษฐา เพราะ “ไม่พอใจการแบ่งโควต้ารัฐมนตรี” ของเพื่อไทย ให้กับพลังประชารัฐ รวมถึง สว.สายพล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้บสัญญาณไม่ให้หนุนเศรษฐา หากรวมไทยสร้างชาติไม่ได้โควต้ารัฐมนตรีอย่างที่ต้องการ ซึ่งถามว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ หากจนถึงตอนโหวตนายกฯช่วงตั้งแต่บ่ายสามโมงวันที่ 22 ส.ค. ผลการเจรจาต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีระหว่างพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดีลไม่ลงตัว มันก็อาจเกิดเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นได้ จนทำให้เศรษฐา ได้เสียงไม่ถึง 375 เสียง จนวืดเป็นนายกฯ

เพราะข่าวว่า โควต้ารัฐมนตรี ที่ “แกนนำพลังประชารัฐ-แกนนำรวมไทยสร้างชาติ” ต้องการ และยื่นข้อเสนอไปยังแกนนำเพื่อไทย ก็ไม่ค่อยได้รับการตอบรับมากนัก เช่น “กระทรวงพลังงาน” ที่ “กลุ่มทุน” ผู้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องการให้โควตากระทรวงพลังงาน อยู่กับรวมไทยสร้างชาติ เพื่อจะดันของตัวเองไปนั่งเป็นรมว.พลังงาน ซึ่งแม้จะมีข่าวว่า เพื่อไทยอาจยอมแล้วที่จะให้ โควต้ากระทรวงพลังงานกับรวมไทยสร้างชาติ

แต่ข่าวบางกระแส ก็บอกว่า ไม่ชัวร์นัก ยังห้าสิบ-ห้าสิบอยู่ และหากเพื่อไทยยอม ก็จะไม่ให้กระทรวงดีอีเอสฯกับรวมไทยสร้างชาติ แต่จะให้กระทรวงแรงงานกับกระทรวงพลังงงานแทน ซึ่งสูตรนี้คนในพรรครวมไทยสร้างชาติ อย่าง “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน อาจพอใจ เพราะอาจจะได้กลับมาเป็นรมว.แรงงานอีกรอบ แต่ข่าวว่า คนในพรรคส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย เพราะอยากได้กระทรวงดิจิทัลฯมากกว่า เพราะหากได้กระทรวงแรงงานมา “สุชาติ ชมกลิ่น” ก็คงจะขอเป็นรมว.แรงงานอีกรอบ โดยที่เป็นที่รู้กันดีว่า แนวโน้มเลือกตั้งรอบหน้า “สุชาติ” จะย้ายออกจากรวมไทยสร้างชาติค่อนข้างแน่นอนแล้ว  

สุชาติ ชมกลิ่น

เช่นเดียวกับ พลังประชารัฐก็มีข่าวว่า โควต้ารัฐมนตรีที่พลังประชารัฐยื่นเงื่อนไขไปกับเพื่อไทย ก็ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร แม้มีข่าวว่าล่าสุด พลังประชารัฐจะได้รัฐมนตรีว่าการฯ 3 กระทรวง คือ “ศึกษาธิการ-ทรัพยากรธรรมชาติฯ-อุตสาหกรรม” แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่พอสมควร เพราะอย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ทาง “ชาติไทยพัฒนา” ก็ยังต้องการคุมต่อ ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม ก็มีข่าวว่า แกนนำเพื่อไทยหลายคนก็ต้องการไปนั่ง และอาจให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯกับพลังประชารัฐแทน ทำให้พลังประชารัฐไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก

ผลการพูดคุยเจรจาเลยยังไม่สะเด็ดน้ำ เพราะเพื่อไทยเล่นลูกกั๊ก บอกขอคุยจริงจังหลังโหวตนายกฯให้ “เศรษฐา” ได้เป็นนายกฯก่อน แต่พลังประชารัฐต้องการความชัดเจนไปเลย ไม่อยากตีเช็คเปล่า เพราะหากเศรษฐาได้เป็นนายกฯแล้ว อำนาจการต่อรองจะลดลงทันที เลยทำให้การเจรจาตั้งรัฐบาลแบบปิดลับ เลยยังมีปัญหาติดขัดพอสมควร

จนมีการสร้างกระแสข่าวว่า “สายป่ารอยต่อฯ” อาจใช้ไม้เด็ด ส่งซิกให้สว.ไม่โหวตให้ “เศรษฐา” เพื่อเป็นการกดดัน “เพื่อไทย” ในช่วงนี้ จนถึงวันโหวตนายกฯ

ยิ่งอย่างที่เห็นตอนนี้ สถานการณ์ “เศรษฐา” ยิ่งไม่สู้ดี เพราะกำลังมีปัญหาเรื่องถูกตั้งคำถามถึง ปูมหลัง สมัยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็น กับการซื้อขายที่ดินแบบเลี่ยงภาษีของบริษัทแสนสิริฯ ตามที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” ไล่ถล่มรายวัน และนัดทิ้งบอมบ์ครั้งสุดท้าย จันทร์ที่ 21 ส.ค.นี้ ที่ “ชูวิทย์” บอกว่าจะแฉทั้งหมด ซึ่งถึงตอนนี้ เมื่อใกล้วันโหวตนายกฯ ก็ทำให้คนในสังคม เริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

จากเดิมที่ประชาชนยังเฉยๆ กับเรื่องนี้ เพราะตอนนั้นยังไม่ชัดว่า เพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ และจะมีการเปลี่ยนตัว แคนดิเดตนายกฯจาก “เศรษฐา” เป็น “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หรือไม่ แต่เมื่อวันนี้ การจัดตั้งรัฐบาลของเพื่อไทย เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และ “เศรษฐา” คือคนที่เพื่อไทยจะดันเป็นนายกฯแน่แล้ว มันก็ทำให้ ประชาชนเริ่มสนใจเรื่อง ปูมหลังของคนที่จะมาเป็นนายกฯ อย่าง “เศรษฐา” มากขึ้น

โดยเฉพาะบรรดา เหล่าสว.หลายคน ที่่อยู่ใน สายป่ารอยต่อฯ และ สายลุงตู่ ที่บางคนคิดไปไกลเกินกว่าเรื่องจะกดดัน “เศรษฐา-เพื่อไทย” เพื่อทำให้ “พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” ได้โควต้ารัฐมนตรีกระทรวงดีๆ

แต่ วันนี้ “สว.บางคน” คิดไปถึงขั้น ต้องการจะลดชั้นพรรคเพื่อไทย ให้เป็นแค่พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะหวังให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล-พล.อ.ประวิตร” คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ จึงเห็นท่าทีชัดว่า จะใช้เรื่องปูมหลังของ “เศรษฐา” สมัยเป็นซีอีโอแสนสิริ มาเป็นเรื่องหลักในการสกัด ไม่ให้ “เศรษฐา” ได้เสียงถึง 375 เสียง จนทำให้การจัดตั้งรัฐบาล “เปลี่ยนมือ” ไปอยู่ในมือของ “ภูมิใจไทย” หรือ “พลังประชารัฐ”

กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ

อย่างเช่นท่าทีของ “กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ” สมาชิกวุฒิสภา-สว.ตัวตึงสภาสูง ที่บอกไว้ว่า เสียงสว.ขณะนี้ยังไม่นิ่ง แต่ดูแนวโน้มแล้วการลงมติเลือกนายกฯวันที่ 22 ส.ค. ดุเดือดแน่นอน เพราะนอกจากสว.ยังติดใจประเด็นคุณสมบัติความซื่อสัตย์สุจริตของเศรษฐาแล้ว ประเด็นยังลามไปเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทย ยืนยันจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

“ขอให้จับตาดูบรรยากาศการโหวตนายกฯวันที่ 22 ส.ค. สว.จะอภิปรายเรื่องคุณสมบัตินายกฯและการแก้รัฐธรรมนูญอย่างดุเดือด เลือดท่วมจอ มีการเตรียมทีมอภิปรายไว้แล้ว”

เส้นทางชีวิตของ “เศรษฐา” จะก้าวกระโดด จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง มาเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทย หลังเปิดตัวเล่นการเมืองอย่างเป็นทางการไม่ถึงหนึ่งปี ได้หรือไม่ รอดูกัน วันที่ 22 ส.ค.

เศรษฐา ทวีสิน

ที่ต้องถือว่าวันดังกล่าวคือ วันเดิมพันชีวิต ครั้งสำคัญของ “เศรษฐา” อย่างแท้จริง ซึ่งหากทำได้สำเร็จ เรื่องราว-เส้นทางการเมืองของเขา คงถูกพูดถึงไปอีกนาน เพราะนักการเมืองจำนวนไม่น้อย เล่นการเมืองมาร่วม 30-40 ปี แค่เก้าอี้รัฐมนตรี ยังไม่เคยได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต 

แต่หาก “เศรษฐา” วืด-อดเป็นนายกฯ ก็ต้องดูว่าจะยังคงเล่นการเมืองต่อไปหรือไม่ หลัง “เศรษฐา” ได้สัมผัสสิ่งที่หลายคนพูดกันมาตลอดว่า เล่นการเมือง-เปลืองตัว เป็นเรื่องจริง เพราะหาก “เศรษฐา” ไม่เล่นการเมือง ก็คงไม่มีใครรู้เรื่องการซื้อขายที่ดิน-ทำธุรกิจของบริษัทแสนสิริฯ ที่ “เศรษฐา” ตั้งมากับมือมาก่อน

และทั้งหมด คือราคาทางการเมืองที่ “เศรษฐา” ต้องจ่าย แต่จะคุ้มหรือไม่คุ้ม รอดูกัน 22 ส.ค.นี้

………………………………………

คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง

โดย “พระจันทร์เสี้ยว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img