“กกร.” ถกภาครัฐหาทางออกค่าไฟฟ้าแพง คำนวณถึงค่าเอฟที ชี้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำกว่าไทยเป็นผลมาจากใช้ถ่านหินในการผลิตถูกกว่าการใช้ก๊าซธรรมชาติ
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 31 ม.ค.นี้ คณะทำงานค่าไฟฟ้า ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะหารือกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เพื่อหาทางออกปัญหาค่าไฟฟ้าของไทยแพง ซึ่งจะเจาะลึกถึงการคำนวณค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ช่วงที่เหลือของปีนี้ หรือตั้งแต่งวดเดือน พ.ค.-ธ.ค.66
สำหรับค่าเอฟทีงวดใหม่เดือน พ.ค.-ส.ค.66 ที่ระบุว่า หากสมมติฐานต่างๆ ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดการณ์ในงวดก่อน ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 5.2407 บาทต่อหน่วยนั้น สูงเกินไป ไม่ควรเกิน 5 บาทต่อหน่วย เพราะสถานการณ์ปัจจัยต่างๆ ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เช่น ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย เพิ่มจาก 200 ล้านลูกบาศก์ (ลบ.) ฟุตต่อวัน เป็น 400 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน ทำให้นำเข้าลดลง, ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 32 บาทเหรียญสหรัฐฯ จากเดิม 37 บาทต่อเหรียญฯ ทำให้ต้นทุนถูกลง ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เหลือ 20 เหรียญฯต่อล้านบีทียู จาก 50 เหรียญฯต่อล้านบีทียู
นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงกรณีค่าไฟฟ้าอาเซียนบางประเทศ มีความหลากหลายตามประเภทผู้ใช้ ปริมาณการใช้ และช่วงเวลาว่า เป็นผลจากปัจจัยที่ต่างกันกับไทย อาทิ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน เสถียรภาพระบบไฟฟ้า ทรัพยากรในประเทศที่ใช้ผลิตไฟฟ้า และนโยบายภาครัฐ แต่จากการสำรวจล่าสุดของธนาคารโลกเกี่ยวกับคุณภาพการบริการไฟฟ้าของอาเซียน พบว่า ไทยมีดัชนีคุณภาพการบริการไฟฟ้าอยู่ในลำดับต้นๆดีกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนหลายเท่า แสดงถึงความมีเสถียรภาพและคุณภาพของระบบไฟฟ้า
ทั้งคุณภาพการบริการ และสัดส่วนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนผลิตไฟฟ้า แตกต่างกันในแต่ละประเทศ กรณีของเวียดนามที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงว่า มีสัดส่วนหลักของการผลิตไฟฟ้ามาจากถ่านหิน ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติ ที่ไทยใช้เป็นหลัก และราคาก๊าซธรรมชาติตลาดโลกปีที่ผ่านมาสูงขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม สื่อเวียดนามเผยแพร่ข่าวว่า เวียดนามอาจปรับขึ้นค่าไฟฟ้าหลังไม่ได้ขึ้นมานาน 5 ปี เพราะต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนข่าวที่ว่าค่าไฟฟ้าเวียดนามลดลง เป็นผลจากการคำนวณเป็นเงินบาทที่ขณะนี้แข็งค่าขึ้น
