ส.อ.ท.เสนอรัฐ 3 ประเด็นหลัก เคลียร์ปมส่งออกรัสเซีย หลังนานาชาติคว่ำบาตรออกจากระบบการชำระเงิน SWIFT ส่งผลการค้าสะดุด
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาธุรกิจไทย-รัสเซีย และรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สภาธุรกิจไทย-รัสเซีย ได้ร่วมหารือและประเมินผลกระทบต่อภาคเอกชนจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อต้นทุนด้านอาหารและพลังงานทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ปรับตัวขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง
สำหรับไทยต้องปรับปรุงการผลิตสินค้าเกษตรในการใช้ปุ๋ยชีวภาพแทน โดยยกประเด็นดังกล่าวขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ (National Agenda) เพื่อให้ไทยเป็น ผู้ส่งออกอาหารปลอดภัยของโลกในอนาคต
นอกจากนี้ได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมไปยังภาครัฐ เช่น 1.การหาช่องทางการชำระเงินผ่านประเทศที่ 3 แทนโดยใช้อิหร่านโมเดล หลังจากรัสเซียถูก คว่ำบาตรออกจากระบบการชำระเงิน SWIFT และการขนส่งสินค้าไปยังรัสเซียที่ติดขัด
2.การหารือร่วมกับภาครัฐและเอกชนจีน ในการขนส่งสินค้าไทยผ่านทางรางจากจีนไปยังรัสเซีย และ 3.การหารือแนวทางการซื้อขายสินค้าผ่านสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) เป็นต้น
รายงานแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ ประเทศตะวันตกตัดรัสเซียออกจากระบบ SWIFT หรือ Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication เป็นระบบที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง ซึ่งธนาคารทั่วโลกใช้ในระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ กระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซีย เพราะต้องพึ่งพารายได้เป็นเงินตราต่างประเทศจากการขายน้ำมันและพลังงานมากกว่าร้อยละ 40 ของงบประมาณ และคิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ระบบ SWIFT เชื่อมโยงสถาบันการเงินทั่วโลกมากกว่า 11,000 แห่ง ให้บริการมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาไทยส่งออกสินค้าไปรัสเซียคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,028 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 42% คิดเป็นสัดส่วนราว 0.4% ของมูลค่าการส่งออกไทยในภาพรวม โดยสินค้าที่ส่งออกหลัก ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เครื่องจักรกล อาหารทะเลกระป๋องแปรรูป และเม็ดพลาสติก