วันอังคาร, พฤษภาคม 7, 2024
หน้าแรกHighlight‘’หมอเด็ก’’แนะฉีดวัคซีนโควิดเด็กอายุต่ำกว่า 12ปีควรเน้นเฉพาะกลุ่มสี่ยง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘’หมอเด็ก’’แนะฉีดวัคซีนโควิดเด็กอายุต่ำกว่า 12ปีควรเน้นเฉพาะกลุ่มสี่ยง

 “ราชวิทยาลัยกุมาร” แนะฉีดวัคซีนกันโควิด เด็กอายุ 16 ปี ขึ้นไปทุกราย ส่วนอายุน้อยกว่านี้ ถึง 12 ปี ควรเน้นฉีดเฉพาะกลุ่มสี่ยงมีโรคประจำตัว เหตุ อย่าเอาความต้องการพ่อแม่เป็นตัวตั้ง   

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 64 ศ.เกียรติคุณ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขเตรียมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 12-18 ปีปลายเดือนก.ย.หลังมีวัคซีนเข้ามา ว่า จากการหารือร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อในเด็กและกุมารแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เห็นตรงกันว่าการฉีดวัคซีนในเด็กต้องคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุด ดังนั้นจึงได้มีการออกแถลงการณ์ในนามราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อแนะนำให้ฉีดในกลุ่มอายุ 16 ปีขึ้นไปก่อน เนื่องจากเป็นกลุ่มเด็กโตซึ่งมีการติดเชื้อไม่ต่างจากกลุ่ม 18 ปี ส่วนเด็กอายุ 12-15 ปี ให้เน้นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว

ทั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนตัวใดรับรองความปลอดภัยในเด็กได้ 100% ในต่างประเทศ มีเพียงสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่ฉีดในเด็กกว่าแสนราย ซึ่งเป็นการฉีดในภาวะฉุกเฉิน พบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในบางราย แม้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิตแต่ระยะยาวจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ ส่วนวัคซีนแอสตราเซเนกายังไม่มีใครกล้าลองเพราะกลัวจะมีปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เป็นทางการถึงวัคซีนตัวใดที่ฉีดในเด็กแล้วปลอดภัย นอกจากนี้วัคซีนที่จะนำมาฉีดในเด็กก็ต้องผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนด้วย 

“การติดเชื้อในเด็กโดยเฉพาะช่วงอายุ 6-12 ปี แม้ป่วยเป็นหมื่นแต่ก็รักษาหายได้ ไม่อยากให้เป็นการสร้างปัญหาให้กับเด็กเพิ่ม  เพราะยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนถึงความปลอดภัย อยากให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับเด็กเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่อยากให้ฉีดเพราะความกลัว ความต้องการ พ่อแม่ฉีดแล้วอยากให้ลูกฉีดด้วย” ศ.เกียรติคุณ นพ.สมศักดิ์ กล่าว และว่า การฉีดวัคซีนควรเน้นฉีดผู้ใหญ่ให้ครบก่อน เพราะเด็กก็ติดมาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อจะเปิดโรงเรียน ก็ควรฉีดครู ผู้ดูแล หรือแม้แต่ภารโรง ซึ่งก็ยังฉีดกันไม่ครบ หากผู้ใหญ่ฉีดกันครบก็จะป้องกันเด็กได้

สำหรับแถลงการณ์ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป (ฉบับที่ 2) ดังนี้ 1. แนะนำให้ฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปโดยองค์การอาหารและยาเท่านั้น ซึ่งข้อมูลถึงวันที่ 7 ก.ย. 2564) มีเพียงชนิดเดียวคือ วัคชีนชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech 2. แนะนำให้ฉีดในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ปี จนถึงน้อยกว่า 18 ปีทุกรายหากไม่มีข้อห้ามในการฉีด ทั้งเด็กที่ปกติแข็งแรงดีและที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง

3. สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนเด็กที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เพราะติดโควิดเสียงอาการรุนแรง ประกอบด้วยโรคอ้วนดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือ มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 12-13 ปี น้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 13-15 ปี น้ำหนัก 90 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 15-18 ปี หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น, โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง, โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง, โรคได้วายเรื้อรัง, โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ, โรคเบาหวาน, กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า

ทั้งนี้ แนะนำให้งดออกกำลังกายอย่างหนักหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ภายหลังจากการฉีดวัดซีน ป้องกันโรคโควิด-19 เนื่องจากมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ภายหลังการฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA ซึ่งพบในอัตราที่ต่ำมาก จึงแนะนำเด็กและวัยรุ่นทุกราย โดยเฉพาะผู้ชายที่ได้รับวัคซีนโดสที่ 1 และ 2 ควรงดการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังฉีดวัคชีน และในเวลาดังกล่าวนี้หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อยหรือหายใจไม่อิ่ม ใจสั่นหน้ามืด เป็นลม ควรรีบไปพบแพทย์ โดยหากแพทย์สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ควรพิจารณาทำการตรวจค้นเพิ่มเติม

สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี และในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี รวมทั้งการฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดอื่นๆ ในเด็ก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในอนาคตต่อไป.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img