วันอังคาร, พฤษภาคม 7, 2024
หน้าแรกNEWS‘วิโรจน์’สับเละงบฯศธ. เหน็บยุครมว.ชื่อ ‘เพิ่มพูน’ แต่การศึกษาไทยถดถอย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘วิโรจน์’สับเละงบฯศธ. เหน็บยุครมว.ชื่อ ‘เพิ่มพูน’ แต่การศึกษาไทยถดถอย

‘วิโรจน์’สับงบฯศธ. เมินสารพัดวิกฤต ห่วงผลสอบ ‘PISA’ ไทยรั้งท้าย แนะลดงบไม่จำเป็น ตัดโครงการฝากเลี้ยง หนุนเด็กตกหล่นกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ปลุกเด็กๆอย่ายอมจำนนอำนาจกดขี่ ล้างสมอง ขโมยเวลาไปจากชีวิต

เมื่อวันที่ 5ม.ค. 67 เมื่อเวลา13.40น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48ล้านล้านบาท วาระแรก ต่อเนื่องเป็นวันที่3 โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศรสส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ และวิกฤตทางการศึกษา โดยกล่าวถึงการสอบ PISA หรือโครงการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติวัดทักษะและความสามารถของนักเรียนอายุ 15 ปีด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยจัดสอบทุก 3 ปี เพื่อประเมินค่าเฉลี่ยของคุณภาพคน และขีดความสามารถในการแข่งขันของพลเมืองแต่ละประเทศ สะท้อนคุณภาพการศึกษา และกลไกของรัฐในการพัฒนาพลเมืองว่าล่าสุดผลคะแนน PISA ปี 2565 ของประเทศไทย อยู่ในกลุ่มรั้งท้าย ได้คะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี ประเทศไทยเข้าสู่การทดสอบ PISA ตั้งแต่ปี 2543 ปัจจุบันมีแต่สาละวันเตี้ยลงโงหัวไม่ขึ้น ผลต่างระหว่างประเทศไทยกับประเทศในกลุ่มที่พัฒนาแล้วยิ่งทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ ไม่เคยนำเอาผลการสอบครั้งที่แล้วมาปรับปรุงระบบการศึกษา

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันผ่านมา 24 ปีประเทศไทยจมปลักอยู่กับปัญหาเดิม รัฐบาลมองปัญหากลายเป็นเรื่องปกติ หลอนว่าระบบการศึกษาเป็นอัตลักษณ์ของประเทศถือเป็นวิกฤตของระบบการศึกษาไทย และเมื่อฟังคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 14ก.ย.2566 ที่ระบุ คงไม่เทียบมาตรฐานกับประเทศอื่นดีกว่าของเราก็เป็นตัวของเราเอง ดังนั้นเมื่อคนระดับรัฐมนตรีมองว่าไม่ได้เป็นปัญหา แต่เป็นสไตล์ จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดงบประมาณปี 2567 ของกระทรวงศึกษาธิการถึงเป็นงบประมาณแบบเดิม

”ทุกวันนี้การศึกษาไทยกำลังเดินหลงทาง มองไปข้างหน้าก็ไม่เจอใคร มองไปข้างหลังก็ไม่เจอคน มองซ้ายเจอฮวงซุ้ยมองขวาเจอป่าช้า แต่ก็ยังจะเดินหน้าต่อไป ยิ่งเดินต่อเสบียงยิ่งร่อยหรอ งบประมาณถูกใช้ไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้“ นายวิโรจน์ กล้าว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า เราอยู่ในยุคที่รมว.ศึกษาธิการ ชื่อเพิ่มพูน แต่การศึกษาไทยถดถอยล้าหลัง เมื่อเปรียบเทียบคะแนน PISA ของประเทศสิงคโปร์ ทั้งการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งคะแนนอยู่เหนือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีแนวโน้มจะทิ้งห่างประเทศที่พัฒนาแล้วไปเรื่อยๆ ส่วนประเทศเวียดนามเทียบเท่ามีคะแนนกับประเทศกลุ่มกลุ่มที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นผลการทดสอบ PISA ของไทยที่ตกต่ำมาโดยตลอด สะท้อนว่าพลเมืองของไทยอายุตั้งแต่ 17-39 ปีสู้พลโลกไม่ได้เลย เมื่อเอาผลคะแนนของแต่ละโรงเรียนมาวิเคราะห์โรงเรียนสาธิตเทียบกับโรงเรียนสังกัด สพฐ. จะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำ เพราะโรงเรียนสาธิตสามารถออกแบบหลักสูตรได้เอง บูรณาการหลากหลายวิชาเข้าด้วยกัน ทำให้บริหารเวลาเรียนได้มีประสิทธิภาพการเรียนรู้เปิดกว้าง ขณะที่โรงเรียนสังกัด สพฐ.เต็มไปด้วยอำนาจนิยม และการบูลลี่ ดึงเด็กออกมานอกห้องเรียน เพื่อทำกิจกรรมสร้างหน้าตาให้กับผู้บริหารสถานศึกษารอคนจากส่วนกลางมาตัดริบบิ้น อย่างไรก็ตาม จากผลวิจัยพบว่าการบูลลี่ในโรงเรียนส่งผลเสียต่อการสอบ PISA ทำให้ผลคะแนนในวิชาวิทยาศาสตร์ตกต่ำลง 35-55 คะแนน ซึ่งเมื่อดูในงบประมาณปี 2567 กลับไม่พบว่าจะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา อำนาจนิยมและการบูลลี่ในโรงเรียน

นายวิโรจน์ กล่าวว่า เด็กไทยมีเวลาเรียนเยอะติดอันดับโลกประมาณ 56 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือตกวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน หักลบกับเวลานอน 8 ชั่วโมงก็เท่ากับเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต สะท้อนว่าเวลาเรียนในโรงเรียนไร้คุณภาพ อย่างไรก็ตามงบดำเนินงานและรายจ่ายอื่น ถือเป็นปัญหาใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ หากเทียบกับกระทรวงสาธารณสุขกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ถือเป็นการปฏิรูประบบจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ใช้งบประมาณและรายจ่ายอื่นไปกับ 3 เรื่อง ได้แก่ ส่งเสริมการป้องกันโรค เพิ่มศักยภาพทักษะทางวิชาชีพ และยกระดับมาตรฐานของสถานพยาบาล แต่เมื่อดูสัดส่วนของงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นของกระทรวงศึกษาธิการเทียบกับกระทรวงสาธารณสุขพบว่าสูงกว่าเป็นเท่าตัว ปี 2563 กระทรวงสาธารณสุขอยู่ที่ 8.41% ส่วนกระทรวงศึกษาธิการอยู่ที่ 19.33% คิดเป็นมูลค่าเงิน 15,027 ล้านบาท และในปีต่อมาก็มีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท ทำให้กระทรวงศึกษาธิการเจ็บกระดองใจพยายามปรับลดงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นในปี2567 ซึ่งในปีนี้มีการปรับลดงบลดลงมาเหลือ 13.14%

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีงบประมาณในหลายโครงการของกระทรวงศึกษาธิการที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนคำนวณว่ามีวงเงินต้องสงสัย 8,256 ล้านบาท เชื่อว่าสามารถปรับลดงบดำเนินงานและงบรายจ่ายอื่นได้อีก โดยเฉพาะโครงการที่มีภารกิจซ้ำซ้อน โครงการที่สร้างภาระงานให้กับครูผู้สอน โครงการที่เต็มไปด้วยการว่าจ้างที่ปรึกษาซึ่งมียอดรวม 2,117 ล้านบาท โครงการเหล่านี้มักจะตั้งชื่อให้เป็นคนดี เพื่อป้องกันการตัดงบ ใครที่ตัดงบประมาณก็จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เห็นแก่เด็กตาดำ ๆ แต่เมื่อดูในรายละเอียดจะทราบว่าโครงการเหล่านี้เป็นภาระแก่ครูและนักเรียน เช่น โครงการสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันยาเสพติด โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาโครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา และโครงการสร้างเสริมสร้างระเบียบวินัยและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซึ่งแค่อ่านชื่อยังสำลักในความดี โดยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำได้ผ่านวิชาโฮมรูม หรือสอดแทรกไปในวิชาสังคมศึกษาหน้าที่ พลเมือง สุขศึกษา แนะแนว โดยไม่จำเป็นต้องแยกโครงการเพื่อถลุงบประมาณ

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันยังมีโครงการเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น โครงการบริหารจัดการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการพัฒนาศึกษาตามศักยภาพในพื้นที่ โครงการพัฒนาสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนมีกองทัพหรือ กอ.รมน.ดำเนินการอยู่แล้ว เป็นภารกิจซ้ำซ้อน เป็นงบที่ กอ.รมน.เอามาฝากเลี้ยงไว้หรือไม่ ทั้งยังมีวิกฤตโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน สพฐ.ระบุว่าในปี 2566 มีอยู่14,996 แห่ง จากโรงเรียนทั้งหมด 29,312 แห่ง และยังมีโรงเรียนที่กำลังเล็กอีก 7,000 แห่ง โรงเรียนขนาดเล็กได้งบประมาณน้อยกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ ประสบปัญหาขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ อาคารสถานที่ขาดการดูแล กระทบกับสวัสดิภาพของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้โรงเรียนขนาดเล็กยังมีปัญหาครูไม่ครบชั้น ครูหนึ่งคนต้องสอนหลายวิชา นักเรียนหลายคนต้องเรียนกับทีวี โดยครูเอาใจใส่ไม่ทั่วถึง เพราะครูไม่สามารถสอนแบบเชื่อมจิตได้

“กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยคิดแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจังเหมือนป่วยเป็นโรคร้าย แต่ให้กินแค่ยาพาราปล่อยให้ลุกลาม และตายไปเองตามยถากรรม การควบรวมโรงเรียนไม่เคยประสบความสำเร็จ มีแนวโน้มควบรวมน้อยลงราวกับว่าไม่มีปัญหา ซึ่งหากควบรวมตามยถากรรม คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลา 91 ปีกว่าจะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กได้ และต้องถูกประจานผลคะแนน PISA ในเวทีโลกอีก 30 รอบ” นายวิโรจน์ ระบุ

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ใส่ใจกับการบริหารงบประมาณและแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กจะมีงบที่จัดสรรใหม่ได้ถึง 15,102 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถนำไปจัดสรรงบอุดหนุนเฉพาะกิจ 4,000 ล้านบาทต่อปีให้กับ อบจ.ทั่วประเทศให้บริการรถรับส่งนักเรียนภายในจังหวัด เพิ่มงบประมาณให้ กสศ.สนับสนุนให้เด็กยากจนพิเศษและคนที่ตกหล่นทางการศึกษา ซึ่งใช้งบประมาณจัดสรรประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี และยังเหลือให้จัดสรรอีก 4,502 ล้านบาทต่อปี

“หากยอมจำนนให้กับระบบอำนาจกดขี่ ยอมให้หลักสูตรที่ไม่ได้ปรับปรุงเป็นหลักสูตรล้างสมอง ขโมยเวลาชีวิตสุดท้ายเด็กต้องเติบโตเป็นพลเมืองที่ไม่กล้าคิด ไม่กล้าฝัน ไม่กล้าตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจเป็นได้แค่บ่าวไพร่ที่คอยทำงานตามคำสั่ง แก่ตัวและตายจากไปในประเทศที่ต้องสาป ผมขออภิปรายเรื่องวิกฤติทางการศึกษาในสภาฯ เป็นครั้งสุดท้าย ผมวิโรจน์ ลักขณาอดิศรตายไปยังไงก็เป็นเถ้าถ่าน ขอไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบฯปี67“ นายวิโรจน์กล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img