วันอังคาร, พฤษภาคม 7, 2024
หน้าแรกNEWS“ณัฐวุฒิ”พร้อมสู้ต่อชำระประวัติศาสตร์ 10 เม.ย.53 ยันไม่เจตนาตอกลิ่มความขัดแย้ง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ณัฐวุฒิ”พร้อมสู้ต่อชำระประวัติศาสตร์ 10 เม.ย.53 ยันไม่เจตนาตอกลิ่มความขัดแย้ง

เต้น’รำลึก 12 ปี 10 เม.ย.53 ลั่นพร้อมสู้ต่อชำระประวัติศาสตร์กี่ปีก็ไม่สาย ยืนยันไม่เจตนาตอกลิ่มความขัดแย้ง ชี้กาลเวลาพิสูจน์ทราบคนหนุ่มสาวยุคปัจจุบันเลือกที่เรียกหาคนเสื้อแดง

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถนนราชดำเนิน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. ร่วมงาน “ยุติธรรมไม่มี 12 ปีเราไม่ลืม” เพื่อรำลึกเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมรำลึกความสูญเสียของประชาชนจากการล้อมปราบ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 มีการจัดมาทุกปีเพื่อประกาศต่อสังคมว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวยังไม่มีการชำระความจริง ยังไม่มีกระบวนการยุติธรรมที่นำคนกระทำผิดในการใช้กำลังปราบปรามสังหารประชาชนมารับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะตอกลิ่มความขัดแย้ง หรือตั้งเงื่อนไขความแตกแยกในสังคมไทยให้ลุกลามบานปลายออกไป เพียงต้องการรักษาแผลเก่า อย่าให้กลายเป็นแผลอักเสบเรื้อรังของสังคม เพราะการไม่มีความยุติธรรมให้ประชาชนผู้สูญเสีย หมายถึงหลักประกันต่อผู้มีอำนาจ ว่าสามารถตัดสินใจใช้กำลังปราบปรามประชาชนได้อีกในอนาคต เพราะมีตัวแบบที่สามารถลอยนวลและพ้นความผิดได้

“ความแหลมคมทางการเมืองเกิดขึ้นทุกวัน จึงคาดเดาไม่ได้เลยว่าในอนาคตอาจมีการเคลื่อนไหวต่อสู้ขนาดใหญ่ของประชาชนขึ้นอีกแล้วอาจเกิดเหตุการณ์แบบคืนวันที่ 10 เม.ย.53 อีกครั้ง ตราบเท่าที่ฝ่ายรัฐยังคงมีความเชื่อมั่นว่าทำแล้วไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เวลานี้เป็นวาระการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว จึงอยากให้ผู้คนในสังคมไม่ว่าเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับความเคลื่อนไหวของพวกเรา พึงตระหนักว่าอนาคตข้างหน้าลูกหลานหรือคนในครอบครัวเรา อาจเป็นคนหนึ่งที่ออกมายืนต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตัวเองตามท้องถนน แล้ววันนั้นลูกหลานและคนในครอบครัวท่านอาจเผชิญหน้ากับกองกำลังของรัฐและสุ่มเสี่ยงที่จะเผชิญกับเหตุการณ์เหมือนกับ 12 ปีที่ผ่านมา” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ต้องการให้ความยุติธรรมเดินหน้าอย่างตรงไปตรงมาคนทำผิดต้องรับผิดชอบซึ่งตลอด 12 ปีทั้งแกนนำและมวลชนผู้ชุมนุมถูกจับกุมคุมขังดำเนินคดีมาต่อเนื่องถึงปัจจุบันแต่ฝ่ายรัฐซึ่งเป็นคู่กรณีและผู้กระทำต่อประชาชนไม่มีใครถูกจับกุมดำเนินคดีแม้แต่คนเดียวตลอด 12 ปี ส่วนการเดินหน้าเรื่องดคีนั้น ที่ผ่านมาได้พยายามที่จะผลักดันตัวคดีอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่พบคือทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับคนตายเป็นการพายเรือในอ่าง ศาลอาญาบอกว่าไม่มีอำนาจให้ไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และต้องตั้งต้นที่ ป.ป.ช. แต่เมื่อไปที่ ป.ป.ช. กลับยกคำร้อง ระบุว่า ผู้มีอำนาจในรัฐบาลขนาดนั้นกระทำตามอำนาจหน้าที่ไม่มีความผิดให้ไปฟ้องร้องกับผู้สังหาร ซึ่งพี่น้องผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งไปฟ้องศาลทหาร แต่กลับบอกว่าไม่มีการ ระบุตัวผู้กระทำ ทำให้ 12 ปี จึงวนอยู่กับที่แบบนี้บนความเจ็บปวดและความสูญเสียของประชาชน ดังนั้นอะไรที่เป็นช่องทางให้คดีเดินหน้าได้ก็ยังคงจะทำต่อไป และหากยังวนเวียนแบบเดิมเราก็ไม่สิ้นความหวัง

“เมื่อมีการใช้กำลังปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน ผ่านไป 10 ปี 20 ปีหรือมากกว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนเมื่ออำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง การชำระประวัติศาสตร์การชำระคดีความและอำนวยความยุติธรรมก็มาถึง หลายๆประเทศผู้กระทำถูกคุมขังในวัย 80 ถึง 90 ปี หลายประเทศเหตุการณ์ผ่านไปนานแล้วคนรุ่นต่อไปก็ลุกขึ้นมาสู้เพื่อความยุติธรรมของคนรุ่นก่อน เราก็ยังมีความหวังเหล่านี้อยู่และจะเดินหน้าต่อไป” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ทุกครั้งที่มีการจัดกิจกรรมนี้ก็มีเสียงตั้งคำถามว่าทำไมพยายามฉุดรั้งบ้านเมืองถอยหลัง แต่อยากบอกว่าการที่บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าต้องเดินหน้าไปด้วยความชอบธรรมถึงมีอนาคต บ้านเมืองที่จะเดินไปข้างหน้าโดยข้ามศพประชาชนเป็น100 เชื่อมั่นว่าบ้านเมืองนั้นไม่สามารถเดินไปหาอนาคตที่ดีกว่าได้ ส่วนคดีอาญาโดยทั่วไปจะหมดอายุความภายใน20 ปี ตอนนี้เป็นปีที่ 12 จึงเหลืออายุความเพียง 8 ปีเท่านั้น ตนเชื่อว่าเหตุสำคัญที่คณะผู้มีอำนาจชุดนี้ดึงดันที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป เนื่องจากอายุความในคดีนี้ด้วย เพราะนายทหาร 3 ป. ที่ยังมีอำนาจอยู่ คือบุคคลสำคัญที่กำกับดูแลกองทัพใน 12 ปีที่แล้ว และเวลานี้ขึ้นมามีอำนาจนำในรัฐบาล ดังนั้นอาจเป็นเจตนาเช่นนี้ของผู้มีอำนาจ แต่เราคาดหวังพลังจากประชาชนไม่ให้มีการสืบทอดอำนาจต่อไปและเดินหน้ากระบวนการยุติธรรมกรอบเวลา 20 ปีก็จะสู้

“ความเจ็บปวดของคนเสื้อแดงมีมาตลอดเวลา เราเป็นขววนการประชาชนที่ต่อเนื่องยาวนานที่สุด และเราเป็นขบวนการประชาชนที่ถูกกระทำให้เกิดความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราเป็นขบวนการทาวการเมืองที่ถูกเหยียบย่ำดูหมิ่นดูแคลนด้อยค่ามาเป็นเวลานาน แต่ในที่สุดกาลเวลาได้พิสูจน์ทราบเมื่อคนหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันเลือกที่จะเรียกหาคนเสื้อแดง เลือกแสดงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจการต่อสู้ของคนเสื้อแดง จึงอธิบายแม้การต่อสู้ของคนเสื้อแดงแม้มีเรื่องถูกบ้างไม่ถูกบ้าง แต่หลักการทีเรายืนหยัดมันถูกต้อง”นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เชื่อว่า สำหรับมวลชนเสื้อแดงประชาชนที่ออกมาต่อสู้ พี่น้องทุกคนไม่ติดค้างใคร พวกเขาได้เสียสละแม้กระทั่งชีวิตและอิสรภาพ ในฐานะแกนนำตนติดค้างต่อพวกเขา และยังเป็นหนี้บุญคุณคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน ดังนั้นอะไรที่จะเป็นสิ่งเชื่อมต่อให้ประชาธิปไตยของไทยมีพลังขึ้นได้ เป็นเกียรติยศประชาชนทุกคน ในฐานะแกนนำน้อมรับและพยายามเรียนรู้แก้ไข เพื่อขบวนการต่อสู้นี้ต่อไปและพร้อมรับทุกข์ชะตากรรม

เมื่อถามว่า มีการมองว่าการเคลื่อนไหวภาคประชาชนตอนนี้เริ่มจุดไม่ติดหรือเริ่มหมดไฟ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไฟของการต่อสู้ยังคงสว่างโชติช่วงในหัวใจผู้คน เพียงแต่เวลาสถานการณ์หรือแม้กระทั่งกระบวนการขับเคลื่อนอาจต้องการการสรุปบทเรียน จัดวางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการใหม่หรือไม่ ซึ่งเป็นโจทย์ที่คนหนุ่มสาวต้องคิดอ่านกัน โดยเหตุการณ์เลยเวลาที่ตนจะมายืนอยู่แถวหน้าสุดเหมือน 10 ปีที่แล้ว แต่วันนี้คนแถวหน้าสุดคือคนหนุ่มสาวที่ทรงพลังและแหลมคม พวกตนพร้อมเป็นส่วนหนึ่งเป็นส่วนเติมเต็มใช้อะไรเป็นประโยชน์ได้กับการต่อสู้ก็จะทำ และหวังว่าประสบการณ์ของคนหนุ่มสาวจะทำให้ขับเคลื่อนกันต่อให้ถูกต้องทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี และสอดคล้องกับความเป็นจริงของสถานการณ์ จึงขอฝากความหวังไว้กับคนหนุ่มสาวรุ่นนี้

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img