บิ๊กตู่ถอย…ม็อบไม่ถอย เปิดประเทศก็รอดยาก!

ในที่สุด…พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ก็ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยย้ำว่า เราต้องถอยกันคนละก้าว และใช้กระบวนการของรัฐสภา ในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อไม่ให้ประเทศเดินทางเข้าสู่ปากเหว

ขณะเดียวกัน นายกฯประยุทธ์ ยังตอกย้ำด้วยว่า เตรียมยกเลิกพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ ซึ่งในวันถัดมาก็ประกาศยกเลิกตามที่ได้กล่าวไว้

ทั้งหลาย…ทั้งปวง…ก็เพื่อบรรเทาปัญหา หรือลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จากความเห็นที่แตกต่างกันในหลายเรื่อง ขณะเดียวกัน ก็ยังอาจมองได้ว่าเป็นข้อเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนและลดระดับความรุนแรงของการชุมนุมให้ลดน้อยลง

แต่การ “ถอย” ครั้งนี้จะเป็นไปตามความต้องการของกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่? ก็อาจไม่ใช่ !! เพราะตามข้อเรียกร้องแล้ว หนทางเดียวที่ต้องการคือ นายกฯประยุทธ์ต้องลาออก และต้องนำไปสู่การปฎิรูปในหลาย ๆ ด้าน

การให้เวลาบิ๊กตู่ 3 วัน ก่อนมีบิ๊กเซอร์ไพรส์อีกครั้งในช่วงวันเปิดประชุมสภาฯในวันที่ 26-27 ต.ค.นี้ ก็คงต้องรอดูว่าคืออะไร ซึ่งหลายคนคงคาดเดากันได้

ประเทศไทยเวลานี้ เปรียบเหมือนตกอยู่ในภาวะ “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” เพราะปัญหาเรื่องของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่ได้คลี่คลายลงไปแม้แต่น้อย แต่ก็กลับกลายเป็นว่า ปัญหา “การเมือง” ก็เข้ามาถาโถมเข้าให้อีก

ที่สำคัญ! การจะกลับมาฟื้นตัวได้อีก คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 2-3 ปี กว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ เข้าสู่ภาวะที่หลายคนเคยเสพสุขกันมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…การเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ออกมาเปิดเผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพียงแค่ 655,000 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 70%

หากเทียบเป็นตัวเลขง่าย ๆ ก็คือ รายได้หายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาททีเดียว โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่หายไป 1.1 ล้านล้านบาท หรือหายไป 70% และอีก 470,000 ล้านบาท ที่หายไป เป็นรายได้ที่มาจากคนไทยเที่ยวเมืองไทยด้วยกันเอง

ในยามปกติ ประเทศไทย กลายเป็น Destination หรือ จุดหมายปลายทาง ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างต้องการเดินทางมาหาประสบการณ์ในสารพัดรูปแบบ จึงทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จนเกือบ 40 ล้านคน

ขณะที่ในช่วงม.ค-ก.ย. ปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวไทยเพียงแค่ 6.69 ล้านคน เท่านั้น ลดลงไปมากถึง 22.77 ล้านคน ขณะที่ไทยเที่ยวไทย มีผู้เดินทาง 52.71 ล้านคน/ครั้ง ลดลง 63.57 ล้านคน/ครั้ง หรือลดลง 54%

ด้วยเหตุนี้ไทยจึงใช้ความโดดเด่นในเรื่องของการจัดการผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่ามีการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม มาเป็นตัวดึงดูด เพื่อดึงดูดให้ต่างชาติเดินทางกลับมาเที่ยวไทย

เพราะเพียงลำพังการกระตุ้นให้ “ไทยเที่ยวไทย” แต่เพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถชดเชยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปได้ รวมทั้งยังไม่พอที่จะช่วยพยุงภาคการท่องเที่ยวที่เคยสร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 2.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 20% ของจีดีพีของประเทศ

ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ “แบงก์ชาติ” ได้ให้เหตุผลไว้ชัดเจนว่า เหตุผลที่รายได้จาก “ไทยเที่ยวไทย” ไม่สามารถชดเชยได้เพียงพอ เพราะรายได้จากไทยเที่ยวไทย นั้นมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ของรายได้ของภาคท่องเที่ยวทั้งหมด

ขณะเดียวกันการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในเวลานี้ ยังคงกระจุกตัวในบางจังหวัดเท่านั้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่ใช้เวลาในการเดินทางไม่ไกล รวมถึงจังหวัดเมืองรอง ที่พบว่าอัตราการเข้าพักแม้จะยังไม่ถึง 50% แต่ก็เพิ่มขึ้นทุกเดือนในอัตราที่ไม่มากนัก

นอกจากนี้มาตรการที่ภาครัฐออกมา เพื่อกระตุ้นให้ “ไทยเที่ยวไทย” ก็พบว่า ยังจำกัดอยู่ ทำให้การใช้สิทธิที่พัก “เราเที่ยวด้วยกัน” ยังมีไม่ถึงครึ่ง ของจำนวนสิทธิทั้งหมดด้วยซ้ำไป

การเลือกใช้วิธี “การเปิดประเทศ” ให้ต่างชาติกลับมาเที่ยวไทย แม้จะการันตีสารพัดความปลอดภัย การันตีมาตรการที่เข้มงวด แต่ก็เป็นเรื่องที่นิ่งนอนใจไม่ได้ เห็นได้จาก “ยุโรป” และอีกหลายประเทศ ที่การระบาดของโควิด-19 ในรอบที่สอง รอบที่สาม ได้เกิดขึ้นแล้ว

แต่หากไม่ใช้วิธีนี้!! การเลือกใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นลมหายใจ ด้วยวิธีอื่น ๆ ก็ดูจะหนักหนาสาหัส เพราะสารพัดพายุที่ถาโถมเข้ามาทำให้ความมั่นใจถดถอยลงไปทุกวันทุกวัน

คงต้องรอดูกันอีกหน่อย หากปัญหาการเมืองในประเทศยัง “ครุกรุ่น” ไม่มีวันจบ ต่อให้เปิดประเทศมากขึ้นและง่ายขึ้น มากเท่าใด ก็เชื่อว่าโอกาส “รอด” นั้นแทบมองไม่เห็น.

………………………….

คอลัมน์ : Ec Focus By Virgo