วันจันทร์, เมษายน 29, 2024
หน้าแรกNEWS“ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก”เปิดอักษรย่อ“นายพล ต.” เชื่อถูกจับเพราะทำ“คดีกำนันนก”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก”เปิดอักษรย่อ“นายพล ต.” เชื่อถูกจับเพราะทำ“คดีกำนันนก”

“พล.ต.ต.นำเกียรติ” เปิดอักษรย่อ “นายพล ต.” และญาติ หลังพบเส้นเงินเชื่อมโยงบัญชีเดียวกับ “บิ๊กโจ๊ก” แต่ไม่ถูกออกหมายจับ มั่นใจถูกจับเพราะทำคดีกำนันนก

เมื่อวันที่ 19 มี.ค.67 พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ 1 ใน 8 ลูกน้องของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ ให้สัมภาษณ์หลังทีมทนายความของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. แถลงข่าวชี้แจงเส้นทางทางการเงิน  วันนี้ตนทราบว่าทีมทนายความจะมีการแถลงข่าว จึงอยากมาชี้แจงในฐานะที่ตกเป็นผู้ต้องหา และมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คือ พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้บัญชีของบุคคลอื่นถึง 6 บัญชี ซึ่งได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนของ สน.ทุ่งมหาเมฆแล้วทั้งสิ้น รวมทั้งมีการสอบเจ้าของบัญชีแล้วด้วย แต่กลับมีการนำเส้นทางการเงินในเรื่องสบคบฟอกเงินมาเป็นอีกคดีที่ สน.เตาปูน แต่ยืนยันว่าเป็นการโอนเงินในห้วงเวลาเดียวกัน

จากนั้น เมื่อมีการสืบสวนขยายผลเส้นทางการเงินของพันตำรวจโทคริษฐ์ นำไปสู่การล่อซื้อและจับกุมของ สน.เตาปูน คือสำนวนคดีเว็บบีเอ็นเคมาสเตอร์ ซึ่งเงินต่างๆ ที่มีการทำธุรกรรมของคดีเว็บมินนี่ ข้อเท็จจริงได้ปรากฏแล้วว่า น.ส.พิมพ์วิไล เป็นเจ้าของบัญชี ที่มีการโอนและการทำธุรกรรมกับพ.ต.ท.คริษฐ์ และพนักงานสอบสวนก็ทราบข้อมูลตรงนี้แล้ว

พล.ต.ต.นำเกียรติ ยืนยันว่า เส้นเงินทั้งหมดปรากฏแล้ว แต่มีการอาศัยเอาข้อเท็จจริงบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไป คือ วันเวลาที่โอนเงินเป็นวันเดียวกัน และกล่าวหา พ.ต.ท.คริษฐ์ ว่าสมคบฟอกเงินอีกคดี ที่ สน.เตาปูน ก่อนมีการจะดำเนินคดีที่เป็นข้อเท็จจริงที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งกรณีนี้ เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าเป็นความผิดที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ ซึ่งตนไม่สามารถชี้ชัดได้ ทำได้เพียงแค่ชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้นว่าเป็นลักษณะนี้ ส่วนเรื่องเส้นทางการเงิน ตนในฐานะผู้ต้องหาร่วมกับทีมทนายความ ได้รวบรวมพยานหลักฐาน จากการประสานร่วมกับทีมทนายความของนางสาวพิมพ์วิไล เพื่อนำมาตรวจสอบว่า น.ส.พิมพ์วิไลมีการทำธุรกรรมเชื่อมโยงอย่างไรบ้าง

จากนั้น พล.ต.ต.นำเกียรติ ขยายความเพิ่มเติมจากทีมทนายความ ถึงเส้นทางการเงิน 2 เส้นที่ยังไม่มีการออกหมายจับ โดยกล่าวถึงเส้นทางการเงินที่ 3 เชื่อมโยงถึง นาย ค. (รอง ฟ.) ซึ่งโยงไปถึงภรรยา พี่สาว และพี่ชายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ซึ่งคือ ยศนายพล อักษรย่อ “ต.” โดยภรรยามีอักษรย่อ “ก.” ส่วนพี่สาวมีอักษรย่อ “จ.” และพี่ชายอักษรย่อ “ช.” พร้อมยืนยันว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีเส้นทางการเงินที่เชื่อมไปถึงว่ามีการทำธุรกรรม แต่ไม่ได้หมายความว่ามีการกระทำความผิด

พล.ต.ต.นำเกียรติ ยังได้เล่าย้อนถึงมูลเหตุแรงจูงใจของการถูกดำเนินคดีของตนและพวก จากการทำงานร่วมกับบิ๊กโจ๊ก จึงทำให้ตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า อาจจะเกิดจากการทำคดีกำนันนก และมีการขยายผลเรื่องส่วยทางหลวงต่อ และอีกคดีคือคดีอดีตผู้การชลบุรีรีดทรัพย์ 140 ล้านบาท หรือคดี “เป้รักผู้การเท่าไหร่” และเมื่อถึงกระบวนการสอบสวน ได้รับทราบจากการข่าวว่า มีข้าราชการตำรวจที่เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ต.อ. “ด.” ในเรื่องของการทำผิดกฎหมาย

จากทางการสืบสวนพบว่ามีเส้นทางการทำธุรกรรมของ พ.ต.อ. “ด.” ที่เชื่อได้ว่าจะกระทำความผิดกฏหมาย และมีการทำธุรกรรมไปถึงบุคคลอื่นอีกจำนวนหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราขการตำรวจ โดยมีข้าราชการตำรวจอย่างน้อย 2 คนเป็นผู้หญิง อักษรย่อ “ว.” และ “ก.” โดยทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์กับข้าราชการตำรวจระดับสูง ทำให้การดำเนินการในการสืบสวนสอบสวนในคดีของตน มีตำรวจ PCT ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำคดีเพียงชุดเดียวเท่านั้น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ที่เป็นผู้ต้องหาเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด ทำไมวันนี้ถึงออกมาเปิดหนเาชี้แจงกับสื่อ พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า ส่วนหนึ่งตนคิดว่าเป็นเพราะช่วงจังหวะ และโอกาส ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้มีโอกาสชี้แจง เราเป็นผู้ถูกกระทำ “พี่น้องสื่อมวลชนไปตรวจสอบประวัติการทำงานของตนได้ ถ้าตนชั่วขนาดนั้น ให้ดูสภาพความเป็นจริงที่ตนอยู่ หรือดูสภาพที่ตนเองใช้ชีวิตในประจำวัน” และเงินที่ได้มา ทุกคนก็คงทราบว่าต้องเลี้ยงดูคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ไปทำงานด้วยกัน ลำพังเงินเดือนของตน เลี้ยงลูกน้องไหวหรือไม่ เมื่อผู้บังคับบัญชาเมตตามอบเงินให้มาเพื่อดูแลลูกน้อง เมื่อลูกน้องทำงานแล้วจะได้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือผู้บังคับบัญชาจะต้องมาเดือดร้อน ส่วนเหตุที่เดือดร้อนก็เพราะว่าลูกน้องของผู้บังคับบัญชาเองไปใช้บัญชีของคนอื่นเท่านั้น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นการยอมรับใช่หรือไม่ว่า พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้บัญชีม้า พล.ต.ต.นำเกียรติ กล่าวว่า ตนกับ พันตำรวจโทคริษฐ์ เป็นผู้ต้องหา หากพันตำรวจโทคริษฐ์ใช้บัญชีม้าในการกระทำความผิด หากมีเงินเข้า ก็จะต้องถูกถอนออกหมดใช่หรือไม่ และหากใช้บัญชีม้าโอนมาให้ตน และโอนไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแม่ของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ และโอนให้บุคคลใกล้ชิดด้วย จะไปปกปิดบัญชีได้อย่างไร และนายให้เงินพ.ต.ท.คริษฐ์เอาเงินไปใส่ตู้ กลายเป็นลูกน้องมินนี่ เพียงเพราะไปพบภาพหลักฐานกล้องวงจรปิดบางส่วน โดยทั้งหมดนี้จะต้องไปสู้กันในชั้นศาลต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หลังจากตกเป็นผู้ต้องหา ได้กลับไปตรวจสอบหรือไม่ว่าได้เงินที่ได้จากผู้บังคับบัญชา มีที่มาจากไหนอย่างไร พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า การชี้แจงเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ให้เงินเรามา เราคงไปใช้อำนาจในการสืบสวนไม่ได้ เมื่อฝ่ายสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ก็เป็นหน้าที่ของผู้กล่าวหา ที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินที่ได้มานั้น มาจากการกระทำความผิด และที่ผ่านมาตนเองกับมินนี่ไม่เคยรู้จักหรือมีความเกี่ยวข้อง และจะรับเงินมาได้อย่างไร และยืนยันว่า การออกมาพูดในครั้งนี้ ไม่กังวลว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้น หากมีอะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะยอมรับ ซึ่งตั้งแต่วันตนเองถูกจับกุม ตนเองก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะที่ผ่านมาตนเองได้รับผลกระทบ ทั้งการถูกให้มาประจำ ศปก.ตร. และถูกตัดเงินเดือน ตำแหน่ง และไหนจะครอบครัวที่จะต้องดูแล จึงไม่เหลือหน้าตาที่ทำงานมา และต้องน้อมรับในสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาและดำเนินการ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img