ยิ่งแถก็ต้องยิ่งแฉ’น้องทอน’ ไม่ได้ยกฟ้อง-ติดสินบนจริง

“พุทธะอิสระ” ลากไส้ “น้องชายทอน” กางคำพิพากษาแจกแจงชัดๆ ศาลระบุชัดพยายามติดสินบน 20 ล้าน แบ่งจ่าย 3 งวด เพราะหลงเชื่อว่า มีที่ดินแปลงดังกล่าวจริง ย้ำอย่ามาแถจากสาวกว่า “ยกฟ้อง” เพราะคนฟ้องคือ “อัยการ” และไม่ใช่ “เป็นผู้เสียหาย” ขณะที่ 2 จำเลยคดีนี้ พ้นโทษแล้ว กองปราบฯเตรียมเรียกตัวสอบเพิ่ม เพื่อขยายผล-เส้นทางเงิน

วันที่ 14 ธ.ค. นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ “พุทธะอิสระ” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ในหัวเรื่อง “ยิ่งแถก ยิ่งแถ เช่นนี้ต้องยิ่งแฉ” มีเนื้อหาดังนี้…เมื่อสาวกพวกล้มเจ้า พยายามแถกแถ เอาสีข้างเข้าสีโดยไม่มีข้อมูลแท้จริง มันก็ยิ่งเปิดแผล น้องชายทอน ให้กว้างขึ้น เช่นนั้น คงต้องจัดเต็มให้ จะได้เลิกแถกแถเสียที เรามาดูกันว่า ใครกันแน่ที่โกหก ไอ้ที่เพ้อละเมอว่า ศาลยกฟ้องนั้นน่ะ ยกฟ้องใคร ศาลไหนยกฟ้อง? พุทธะอิสระ พยายามอ่านคำพิพากษาทุกตัวอักษร ไม่มีคำไหนที่ศาลยกฟ้องเลย มีแต่ศาลท่านแจงว่า น้องชายของทอน พยายามที่จะติดสินบน โดยเสนอค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ถึง ๒๐ ล้านบาท

โดยแบ่งจ่ายเป็นงวดแรก จ่ายให้เจ้าหน้าที่ ๕ ล้านบาท งวดที่สองอีก ๕ ล้านบาท และงวดที่สาม ๑๐ ล้านบาท โดยแลกกับข้อมูล และเอกสาร ที่จำเลยทั้งสอง นำมาเสนอเรื่องที่ดิน ที่อยู่บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ที่กำลังจะหมดสัญญาเช่ากับผู้เช่าเดิม และจะเปิดให้ผู้สนใจมาลงทุนพัฒนาที่ดินดังกล่าว

เมื่อน้องชายทอน หลงเชื่อว่า สำนักงานทรัพย์สิน มีที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าจริง จึงให้จำเลยทั้ง ๒ ดำเนินการติดต่อประสานงาน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้บริษัทของตน และพี่น้อง ได้สิทธิการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว โดยมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ดังกล่าว

ประเด็นที่ต้องพิจารณา ใครเป็นผู้เสียหาย และเป็นผู้แจ้งความ ข้อเท็จจริงคือ สํานักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต ๔ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ไม่ใช่น้องชายนายทอนนะ

แล้วไอ้ที่อ้างว่า “เป็นผู้เสียหายนะ” ทำไมไม่ฟ้องเองเล่า หรือกลัวติดคุก อ้อ! ขอบอกพวกสมุนลัทธิล้มเจ้า แถกแถในประเด็นติดสินบนเจ้าหน้าที่เขาอีกนะ จะได้ลากไส้ ความเน่าในของคนในตระกูลนี้ มาให้เห็นกันอีกเยอะๆ

อีกด้านหนึ่ง มีรายงานข่าวแจ้งว่า กองปราบปรามเตรียมที่จะออกหมายเรียกตัว นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ และ นายสุรกิจ ตั้งวิทูวณิช พนักงานบริษัทเอกชน 2 จำเลยคดีดังกล่าวที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกไปก่อนหน้านี้ มาสอบปากคำในฐานะพยานที่เคยให้การว่ารับเงินจากนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยกองปราบฯพบว่า จำเลยทั้ง 2 รายได้พ้นโทษออกมาจากเรือนจำแล้วเมื่อต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ กองปราบฯเคยขอสอบปากคำทั้ง 2 รายขณะที่อยู่ในเรือนจำแล้ว แต่ทั้งคู่ไม่ให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะในประเด็นการขยายผลเส้นทางการเงิน โดยทั้งคู่พยายามปกปิดผู้ที่รับเงินต่อไปอีกทอดหนึ่ง พนักงานสอบสวนกองปราบฯ เชื่อว่าในสำนวนที่สองนี้อาจจะมีคนผิดมากกว่า 1 รายก็เป็นได้ หากตรวจสอบพบว่ามีผู้ร่วมขบวนการกับจำเลยทั้ง 2 ราย