มาถึงจุดสิ้นสุดบนถนนการเมืองของ คุณเอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ หลังจากศาลฎีการับคำร้องและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.
เป็นผลมาจาก ป.ป.ช.ยื่นต่อศาลฎีกาให้วินิจฉัยว่า คุณปารีณาสร้างฟาร์มไก่รุกพื้นที่ป่าสงวนฯ ใน จ.ราชบุรี เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน มีรัฐมนตรีคนหนึ่งและภรรยาเข้าครอบครองป่าแม่สุก ใน จ.ลำปาง ต่อมามีการประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน ภรรยาของรัฐมนตรีจึงยื่นขอใช้ประโยชน์ในฐานะผู้ครอบครองเดิม
เรื่องนี้ถูกสื่อเปิดโปงเป็นข่าวใหญ่ โดยเฉพาะการนำภาพถ่ายทางอากาศในแต่ละปีมาพิสูจน์ให้เห็นสภาพพื้นที่ที่ถูกก่นถาง เริ่มจากปี 2536 ป่ายังอุดมสมบูรณ์ จากนั้นในปี 2538 ป่าถูกถางประมาณ 200 ไร่ และแปรสภาพเป็นสวนผลไม้
หลังจากมีการเสนอข่าวแล้ว ก็มีผู้ไปยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่า รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลกรมป่าไม้ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือไม่
ป.ป.ช.ใช้เวลาสอบสวนอยู่ระยะหนึ่งก่อนมีคำวินิจฉัยในทำนองว่า ไม่ได้กระทำผิดต่อหน้าที่
หากนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของคุณปารีณา คล้ายกับเป็นหนังคนละม้วน เพราะกรณีของรัฐมนตรีนั้นมีภาพถ่ายทางอากาศ และมีคำสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2536 ว่าได้ครอบครองที่ดิน 200 ไร่ ซึ่งในปี 2536 ที่ดินป่าแถบนั้นยังมีความอุดมสมบูรณ์ แล้วป่าก็หายไปกลายมาเป็นสวนผลไม้
ต้นไม้ในป่าคงไม่พากันฆ่าตัวตาย เพื่อเปิดพื้นที่ให้รัฐมนตรีเข้ามาครอบครองทำสวน อย่างไรก็ต้องเกิดจากการถากถางด้วยฝีมือของมนุษย์
ต่างจากคุณปารีณาที่ได้รับที่ดินผืนนี้มาจากคุณทวี ไกรคุปต์ ซึ่งเป็นพ่อ และไม่มีหลักฐานยืนยันว่า พ่อถากถางเองหรือไปซื้อต่อมาจากชาวบ้าน
แต่คุณปารีณา ถูก ป.ป.ช.วินิจฉัยว่า กระทำขัดต่อจริยธรรมอย่างร้ายแรง
อาจเกิดคำถามที่ว่า ทำไมถึงเป็น 2 มาตรฐาน รัฐมนตรีไม่ผิด แต่คุณปารีณาผิด
คำตอบก็คือ ทั้งหมดเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ
กรณีของรัฐมนตรี ในรัฐธรรมนูญยุคนั้น ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับจริยธรรมที่ชัดเจน แต่สำหรับคุณปารีณาเจอกติกาในรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเข้มงวดตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเข้มข้น
ถ้าคุณปารีณาเล่นการเมืองเร็วกว่านี้ ได้ไปอยู่ในยุคเดียวกับรัฐมนตรีที่ครอบครองพื้นที่ป่าแม่สุก ก็ไม่ต้องเผชิญชะตากรรมเหมือนอย่างวันนี้
#ดินสอโดม