กลายมาเป็น “สมรภูมิ” ที่น่าจับตามองอีกครั้ง!! สำหรับ ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ “คริปโตเคอร์เรนซี่” ในไทย ที่เรียกได้ว่า…สร้างอุณหภูมิอย่างร้อนแรงได้ทุกครั้ง
ที่สำคัญ…ยังเป็นแหล่งลงทุนสำคัญของคน “รุ่นใหม่” ที่มีชีวิตอยู่ในกระแสโลกใหม่ที่จับต้องไม่ได้ บรรดานักการเงิน กูรูการเงิน ต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน ว่า “เงินไฮเทค” เหล่านี้ กำลังกลายเป็น “นวัตกรรมการเงิน” ของโลกในอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที
สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ให้ข้อมูลว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกมีมาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าตลาดประมาณ 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าซื้อขายล่าสุดเฉลี่ยวันละ 99.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมาร์เก็ต แคป สูงสุดคือ บิตคอยน์ 40.31% รองลงมาคือ อีเธอร์เรียม 19.01% อันดับ 3 คือ ธีเทอร์ 3.98%, บีเอ็นบี 3.72% และ โซลาน่า 2.24% (ข้อมูล ณ 10 ม.ค.65)
หันมาดูภาพรวมของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย จากสิ้นปี 63 มีจำนวนบัญชีที่เปิดซื้อขายกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพียง 170,000 บัญชี ล่าสุด ณ เดือนพ.ย.64 มีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนมากถึง 1,979,847 บัญชี
นั่น…แสดงให้เห็นว่ามีการเติบโตขึ้นกว่า 1,000% และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นับรวมนักลงทุนไทยที่ออกไปเปิดบัญชีซื้อขายกับศูนย์ซื้อขายฯในต่างประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับหรือได้รับอนุญาตจากก.ล.ต.
การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นนี้ ได้สร้าง “เศรษฐีหน้าใหม่อายุน้อย” เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และบางรายก็เกิดขึ้นเพียงข้มคืนด้วยซ้ำไป
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก!! ที่บรรดาคนรุ่นใหม่จะฉวยโอกาส เรียนรู้และกระโจนเข้ามาลงสนาม เพื่อโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด
และก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…ที่บรรดาแพลตฟอร์มซื้อขายเงินดิจิทัล จะเข้ามาฉวยจังหวะฉวยโอกาสลงทุนในไทย เพื่อหยิบฉวยโอกาสจากไทยที่กำลังปลี่ยนโฉมหน้าสู่การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
ก่อนหน้านี้คงจำกันได้กำลัง “ดีลยักษ์” อย่าง แบงก์ไทยพาณิชย์ ที่เข้าไปซื้อหุ้น “บิทคับ” 51% ในบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด รวมมูลค่า 17,850 ล้านบาท เพื่อเตรียมนำขึ้นสู่ยานแม่ “SCBX” จนเขย่าแวดวงการเงินการลงทุนที่กำลังส่งสัญญาณว่าการเงินการลงทุนไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
จนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมายักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน อย่าง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ตกลงจับมือกับกลุ่ม “ไบแนนซ์” แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีมาร์เก็ตแชร์มากที่สุดในโลก เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย
การจับมือครั้งยิ่งใหญ่ ของทั้ง “สองดีลยักษ์” ยิ่งสะท้อนให้เห็นเด่นชัดว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ณ เวลานี้ กำลังสุกงอม มีการออกเหรียญใหม่สารพัด มีการจับมือกับผู้ให้บริการสินค้าและบริการ เพื่อให้สินทรัพย์ดิจิทัล เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการซื้อสินค้าและบริการนั้น ๆ
ที่น่าสนใจ!!! อยู่ตรงที่ว่า…ในดีลของบิทคับกับเอสซีบี นั้นเท่ากับว่า “บิทคับ” มีเอสซีบีเป็นฐานสำคัญ เพราะขณะนี้มีผู้ใช้งานเอสซีบี อีซี่ อยู่กว่า 12.4 ล้านบัญชี
ส่วน “กัลฟ์” เพิ่งเข้าไปถือหุ้นในอินทัช ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในค่ายมือถือเอไอเอส ที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 43.7 ล้านบัญชี ก็เหมือนว่าเป็น “ฐาน” สนับสนุนให้กับ “ไบแนนซ์” ไม่น้อยทีเดียว
แม้ว่าทุกวันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ยังไม่เห็นด้วยกับการให้นำสินทรัพย์ดิจิทัล มาอยู่ในระบบการชำระเงิน รวมไปถึงการไม่เห็นด้วยที่จะให้แบงก์โดดเข้าไปร่วมวงในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง ก็ตาม
แต่ปรากฎว่า…บรรดาบริษัทลูกของแบงก์ต่างเข้าไปมีเอี่ยวด้วยกันแทบทั้งนั้น ทั้งกรณีกระแสข่าวของแบงก์รวงข้าว ที่เข้าไปจับมือกับไบแนนซ์ เพื่อจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย หรือกรณีของแบงก์บัวหลวงที่อยู่ระหว่างหารือกับแบงก์ชาติว่าจะเข้าไปร่วมวงในเรื่องนี้ได้อย่างไร
ด้าน แบงก์กรุงศรีฯ ได้เข้าลงทุน ซิปเม็กซ์ แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย โดยลงทุนผ่านกรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับบมจ.แพลน บี มีเดีย และบมจ.มาสเตอร์ แอด ปิดระดมทุนรอบซีรี่ย์บีของซิปเม็กซ์ด้วยเงินลงทุน 41 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1,330 ล้านบาท ไปก่อนหน้านี้แล้ว
กระแสสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ได้สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า “นวัตกรรม” กำลังเข้ามาในไทยแบบหนักข้อมากยิ่งขึ้น ด้วยเพราะโลกใบนี้ได้ “ไร้รั้วกั้น”
ปัญหาอยู่เพียงว่า!! กฎระเบียบในการดูแล นั้นพร้อมแล้วหรือยัง !!!
………………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
