วันจันทร์, เมษายน 29, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSศึกชิง‘แม่ทัพสีกากีคนที่14’ทำตำรวจร้าว แลกกันคนละหมัดผ่าน‘สงครามตัวแทน’
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ศึกชิง‘แม่ทัพสีกากีคนที่14’ทำตำรวจร้าว แลกกันคนละหมัดผ่าน‘สงครามตัวแทน’

ถือเป็น ปฏิบัติการที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แวดวงสีกากี และผลกระทบทางการเมืองมากพอสมควร หลังเมื่อวันที่ 25 ก.ย. เวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโด กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ (บก.ปพ.) กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (บก.สปพ.) หรือ 191 และตำรวจชุดเฉพาะกิจ PCT สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นำกำลังเข้าตรวจค้น 50 จุด ในพื้นที่ 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร (กทม.), เพชรบุรี, สมุทรปราการ, ขอนแก่น, อุดรธานี และสระบุรี ที่เกี่ยวข้องกับ การพนันออนไลน์

โดยปฏิบัติการ “บิ๊กคลีนนิ่งเดย์” กวาดล้างบ้านตัวเองครั้งนี้ ตำรวจ PCT ได้สืบสวนจับกุมเว็บพนันออนไลน์ เครือข่าย “บอสตาล” หรือ “พงษ์ศิริ ฐาราชวงศ์ศึก” อดีตประธานสโมสรฟุตบอลลำพูน วอริเออร์ จากนั้นขยายผลต่อจับกุม “มินนี่” สาวเจ้าของเว็บพนันออนไลน์หลายเว็บไซต์ พบมีเงินหมุนเวียนกว่าพันล้านบาท

จากการจับกุมครั้งนั้น มีการขยายผลสอบสวนพบ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงอยู่เบื้องหลัง บางนายเป็นเจ้าของเว็บพนัน ชุดสืบสวนใช้เวลาแกะรอยเส้นทางการเงิน โดยมีการปิดบัญชีม้าและนำเงินมากระจายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน ซึ่งพบมีคนเกี่ยวข้อง และ ขอศาลออกหมายจับ 23 คน โดย 8 คนในนั้น เป็นตำรวจตั้งแต่ระดับ พล.ต.ต.-ส.ต.อ. ล้วนแต่เป็น “มือขวา” ของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.

ประกอบด้วย พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น., พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผกก.ตม.จันทบุรี, พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผบก.สส.ภ.4, พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ, พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ ผกก.ตม.จว.ฉะเชิงเทรา, พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตามพล.ต.อ.สุรเชษฐ์, ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผบ.หมู่งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. และ ส.ต.อ.อภิสิทธิ์ คนยงค์ ผบ.หมู่(ป.) สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

แต่หนึ่งในเป้าหมายที่กลายเป็นประเด็นสำคัญ หนีไม่พ้น “พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (รรท. ผบก.ทล.) พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษอาวุธครบมือ เข้าตรวจค้น บ้านพักเลขที่ 9/147 และ 9/148 ซึ่งเป็น บ้านพักของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ภายในหมู่บ้านซอยวิภาวดี 60 หลังสโมสรตำรวจ ที่ตำรวจมีข้อมูลพบความเชื่อมโยงกลุ่มพนันออนไลน์ โดยบ้านพักของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นทาวน์โฮม 3 ชั้นเชื่อมติดต่อกัน 2 คูหา

น่าสังเกตว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดก่อนการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพียง 2 วัน โดยมีข่าวว่า ในวันที่ 27 ก.ย. “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะมานั่งเป็น ประธานก.ตร. โดยมีรายชื่อนายตำรวจ ที่เสนอจะต่อ ก.ตร. ตามพ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ 4 คนประกอบด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.อาวุโส อันดับ 1 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 2 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 3 และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.

แม้ที่ผ่านมาจะมีข่าว “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มีโอกาสสูงมากในการคว้าตำแหน่ง “แม่ทัพสีกากี คนที่ 14” เนื่องจากมีผู้มากบารมีเป็นกองหนุนอยู่ แต่ในช่วงโค้งสุดท้าย “บิ๊กโจ๊ก” ก็แสดงผลงานเข้าตาสังคม โดยเฉพาะการคลี่คลายคดีการยิงนายตำรวจเสียชีวิตในบ้าน “กำนันนก” จนมีการคาดหมายว่า อาจมาแรงแซงโค้ง คว้าเก้าอี้สำคัญไปครอง อีกทั้ง ถ้าหากมีการแต่งตั้ง “บิ๊กต่อ” ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. อาจมี “นายตำรวจบางคน” ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง โดยใช้เหตุผลการแต่งตั้งไม่ได้ยึดอาวุโส จึงต้องจับตามองว่า การแต่งตั้งแม่ทัพสีกากีคนที่ 14 จะเป็นไปด้วยความราบรื่นหรือไม่  

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าว ผู้มีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทย (พท.) ต้องการสนับสนุนให้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. เพราะให้ความไว้วางใจ และเชื่อว่าจะประสานงานกับรัฐบาลได้ดีกว่า “บิ๊กต่อ” จึงอาจทำให้เกิดแรงต่อต้าน และนำมาปฏิบัติการครั้งสำคัญ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐาน และเส้นทางการเงินอย่างชัดเจน ปรากฏว่า รองผบ.ตร.จะเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่การที่นายตำรวจที่มีความใกล้ชิด และช่วยงานอยู่ข้างกาย ถูกแจ้งข้อหาย่อมกระทบกับภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือของ “บิ๊กโจ๊ก” ไปเต็มๆ

ด้าน “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ให้สัมภาษณ์ว่า การออกหมายค้นครั้งนี้ เป็นการออกหมายโดยไม่สุจริต เพราะแจ้งกับศาลเพียงแค่บ้านเลขที่เท่าไหร่ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านของใคร โดยที่ตำรวจหลายนายนั้นรู้อยู่แล้วว่า เป็นบ้านของตนเอง แต่ไม่เป็นไร เมื่อมีหมายมาแล้ว ก็ต้องให้ค้น เพียงแต่ว่าต้องมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมตรวจค้นด้วย เพราะการตรวจค้นบ้านของตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้น ต้องมีพยานหลักฐาน ในกรณีนี้ต้องมีเส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมาย แต่นี่กลับไม่มีเส้นทางการเงินมาถึงตนเองเลยสักเส้นเดียว เพราะฉะนั้นในส่วนของการดำเนินการทั้งหมดนั้นจะไล่ดำเนินคดีทั้งหมด

“ตำรวจทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับก็เป็นลูกน้องของผมทั้งหมด ก็ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์หรือไม่ ถ้าลูกน้องทำผิด ก็ต้องจับ คนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ลูกน้องที่ถูกจับ ก็ต้องไปอธิบายให้ได้ว่า เกี่ยวข้องกับเว็บพนันหรือไม่”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่า ทั้งหมดก็ไม่เกินเรื่องการเมืองใน ตร. หากโดนดำเนินคดีก็ต้องโดน แต่ต้องเชื่อมั่นลูกน้อง เพราะเป็นชุดทำงานเดียวกัน ต้องให้ความเป็นธรรม หากการสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่า ผิดจริง ต้องดำเนินคดีอาญา คนไหนถ้าผิด ไม่ปกป้อง แต่วันนี้ยังหา “คนสั่งการ” ตรวจค้นไม่ได้ เรื่องนี้ใครทำต้องรับผิดชอบ เป็นการดิสเครดิตและทำให้เสียชื่อ เรื่องแบบนี้เจอมาเยอะแล้ว และเตรียมตัวรับแรงกระแทก แบบนี้แล้วเช่นกัน ยอมรับทำคดีเยอะ และไปเกี่ยวพันกับตำรวจเยอะ ทั้งเส้นทางการเงินและการออกหมายจับตำรวจอีกหลายคน เข้าค้นอีกหลายส่วน ส่วนกรณีมีการโอนเงินไปให้ลูกน้องนั้น ก็เป็นการโอนให้ลูกน้องจ่ายค่าไฟกว่า 1 หมื่นบาท ไม่ได้ให้เจ้าของเว็บพนันมาจ่ายให้ ถ้ามีเส้นทางการโอนเงินเข้ามา 10-20 ล้านบาท ค่อยว่าไปอย่าง

จับคำให้สัมภาษณ์ “บิ๊กโจ๊ก” เชื่อว่า ประเด็นที่เกิดขึ้นกับตนเอง เป็นเรื่องการเมืองในตร. ซึ่งอาจหมายถึงการสรรหาเก้าอี้ “ผู้นำองค์กรสีกากี”

อีกทั้งถ้า “บิ๊กต่อ” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผบ.ตร. คงมีคำถามตามมา จะสามารถทำงานร่วมกับ “บิ๊กโจ๊ก” ได้หรือไม่ เพราะอาจมีความหวาดระแวงเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเอกภาพการทำงานของ ตร.

ขณะที่อีกสาเหตุที่น่าจะนำมาสู่ “ความขัดแย้ง” ของ “2 บิ๊กสีกากี” คือกรณีเกิดเหตุยิง “พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว” ตำรวจทางหลวง เสียชีวิตภายในงานเลี้ยงบ้าน “กำนันนก-ประวีณ จันทร์คล้าย” ปมขวางส่วยรถบรรทุก และการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ 

หลังเกิดเหตุ “บิ๊กโจ๊ก” รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน ได้ลงพื้นที่ควบคุมคดีด้วยตัวเอง จับตำรวจที่เกี่ยวข้องคดีฆ่า 6 นาย และเตรียมสอบสวนเอาผิดกับตำรวจ 13 นาย ตั้งแต่ระดับ “พ.ต.อ.-จ.ส.ต.” ที่อยู่ในที่เกิดเหตุฐาน 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

โดยตำรวจส่วนใหญ่เป็น ตำรวจทางหลวง สังกัด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ขณะดำรงตำแหน่ง ผบก.ช. ซึ่งในคดีนี้ “บิ๊กต่อ” ต้องเสียลูกน้องมือดีไปถึง 2 นาย นอกจาก พ.ต.ต.ศิวกร แล้ว พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ หรือ “ผกก.เบิ้ม” ผกก.2 บก.ทล. ซึ่งเป็น 1 ใน 13 นาย ที่ถูกเค้นสอบเอาผิดอย่างหนัก ได้ยิงตัวตายเสียชีวิตคาบ้านพัก ซึ่งมีข่าวในช่วงแรกจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

แต่ในที่สุดการสืบสวนสอบสวนต้องชะงักเมื่อ “บิ๊กเด่น-พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” ผบ.ตร. ติดเบรกสั่งโอนคดีจากภาค 7 มาให้ตำรวจสอบสวนกลางทำคดีแทน  ซึ่ง “บิ๊กก้อง-พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช” ผบช.ก. ระบุต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้ชัดเจน และต้องปรึกษาข้อกฎหมายกับอัยการเพื่อหาข้อสรุป พฤติกรรมแบบไหนถึงจะเข้าข่าย 157 

คดีดังกล่าวมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า “บิ๊กโจ๊ก” สอบสวนเอาผิดตำรวจทั้ง 13 นาย ซึ่งเป็นคนของ “บิ๊กต่อ” หวังดิสเครดิต เพื่อไม่ให้ก้าวสู่ตำแหน่ง “ผบ.ตร.” จนในที่สุดก็นำมาสู่ปฏิบัติการ “บิ๊กคลีนนิ่งเดย์-กวาดล้างบ้านตัวเอง” ตำรวจ PCT ได้สืบสวนจับกุมเว็บพนันออนไลน์ และขยายผลมาถึงนายตำรวจที่มีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กโจ๊ก”

ขณะที่เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา “เศรษฐา” ได้มีคำสั่งสำนักนายกฯที่ 247/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีการเข้าค้นบ้านพัก ของข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่และเคหสถานอื่นหลายแห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย 1.นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการ 2.นายชาติพงษ์ จีระพันธุ อดีตรองอัยการสูงสุด กรรมการ 3.พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรองผบ.ตร. กรรมการเเละเลขานุการ

โดยมีมีหน้าที่และอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าค้นบ้านพักข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และเคหสถานอื่นหลายแห่งทั่วประเทศเมื่อวันที่ 25 ก.ย.และที่จะดำเนินการต่อเนื่องไป แล้วรายงานนายกฯภายในสามสิบวัน ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องไม่ก้าวล่วงหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้อง กับกรณีดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร

ในกรณีที่จำเป็น นายกฯอาจมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาตามวรรคหนึ่งออกไปอีก ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการรายงานความคืบหน้าต่อนายกฯเป็นระยะทุกสิบวัน 

ซึ่งต้องติดตามดูว่า บทสรุปจะออกมาอย่างไร ซึ่งจะเกี่ยวข้องการทำงานและสอบสวนของปฎิบัติการตำรวจ PCT ในการจับกุมเว็บพนันออนไลน์ และขยายผลมาถึงนายตำรวจที่มีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กโจ๊ก” หรือมีเส้นทางการเงินพัวพันกับ รองผบ.ตร.หรือไม่

แต่ไม่ว่าบทสรุปจะจบลงอย่างไร ใครจะก้าวขึ้นมาเป็น “แม่ทัพสีกากีคนที่ 14” แต่ร้อยร้าวที่เกิดขึ้น ระหว่าง “บิ๊กต่อ” กับ “บิ๊กโจ๊ก” คงยากที่จะประสาน 

อยู่ที่ว่า แผลที่ถูกเปิดของแต่ละฝ่าย ในทางกฎหมายใครจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน !!!

…………………………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย..“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img