วันอังคาร, เมษายน 30, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSบทเรียนราคาแพงที่“เศรษฐา”ต้องเรียนรู้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

บทเรียนราคาแพงที่“เศรษฐา”ต้องเรียนรู้

ไม่แน่ใจว่า มีใครเคยตั้งข้อสังเกตุหรือไม่ว่า นับตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ดูเหมือนว่า ยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ตามที่หลายคนคาดหวัง ตรงกันข้าม กลับกัน ยิ่งทำให้ขาดความเชื่อมั่นมากขึ้น

จะเห็นว่า ตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยบริหารประเทศ รัฐบาลยังไม่มีเอกภาพเท่าที่ควร ยังเชื่อมต่อกันไม่ติดระหว่าง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีกับ “รัฐมนตรีคนอื่นๆ” รวมถึงระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลกับ “พรรคร่วมรัฐบาล” จะเห็นจากหลายกรณีที่เป็นเผือกร้อน แทนที่พรรคร่วมฯจะออกมาช่วยกันทำความเข้าใจกับสังคม แต่กลับเงียบกริบ โยนให้เป็นหน้าที่พรรคเพื่อไทยรับผิดชอบเอง

กล่าวสำหรับท่วงทำนอง “เศรษฐา” หลายๆ ครั้งก็มักเล่นบท “ไม่ถูกที่ ถูกเวลา” ตรงนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนเป็นผู้นำประเทศ  เริ่มตั้งแต่การเขียนเฟซบุ๊ค กล่าวประณามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ใช้ความรุนแรงโจมตีอิสราเอล จนทำให้คนไทยต้องบาดเจ็บ ล้มตายและถูถจับเป็นตัวประกัน

เรื่องนี้ คนวงในความมั่นคง บอกว่า พอเห็นมีเรื่องนี้ขึ้นมา หลายฝ่ายต่างเกรงว่าจะมีปัญหาตามมา แม้จะไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แต่ในฐานะผู้นำประเทศ ก็ไม่ควรแสดงท่าทีโดยเปิดเผย ไม่แน่ใจว่า จากท่าทีดังกล่าวหรือไม่ จึงทำให้กลุ่มประเทศอาหรับไม่ยอมให้เครื่องบินของไทยที่ไปรับแรงงานกลับบ้านบินผ่านน่านฟ้า แต่สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงวิตกยิ่งกว่า นั่นคือ อาจจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน เพราะจะถูกมองว่า เราเลือกข้างก็เป็นไปได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน นายกฯมือใหม่หัดขับควรต้องปรึกษาหารือข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการต่างประเทศก่อนก็จะดี

ยังมีกรณีที่ล่อแหลมหลายครั้งที่อาจจะเกิดการตีความไปในทางลบได้ อย่างกรณีที่ “เศรษฐา” ได้ไปประกาศในงานสัมมนาแห่งหนึ่งในทำนอง ยกย่องญี่ปุ่นว่าเป็นผู้มีพระคุณกับประเทศไทยมานาน รัฐบาลจะทอดทิ้งไม่ได้ ยังจำเป็นต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ประเภทรถสันดาป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น ในเชิงธุรกิจนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนนับหมื่นรายที่เป็นของคนไทยอยู่ในซัพพลายเชนอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่น หากเลิกไปอุตสาหกรรมชิ้นส่วนของไทยพลอยได้รับผลกระทบไปได้

อันที่จริงเรื่องแบบนี้ ควรจะพูดคุยกับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเป็นการภายใน ไม่ควรที่จะส่งสัญญาณออกสู่สาธารณะ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าตอนนี้ในธุรกิจรถยนต์บ้านเรานั้น เป็นการสู้กัน 2 ค่าย ระหว่างค่ารถยนต์ EV หรือรถพลังไฟฟ้าของจีนกับค่ายรถยนต์สันดาปของญี่ปุ่นที่ปักธงมานาน ตอนนี้บริษัทรถยนต์จากจีนพากันทะยอยเข้ามาลงทุนในบ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชิงฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยที่ญี่ปุ่นครองอยู้เดิม เมื่อนายกฯพูดต่อสาธารณะอย่างนี้ ไม่รู้ว่าค่ายรถยนต์จากจีน ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไรบ้างหรือไม่

เมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ “เศรษฐา” เข้าพบ ประธานาธิบดี “สีจิ้น ผิง” ของจีน นายกฯมือใหม่ถอดด้ามของเรา ได้พูดเอาอกเอาใจจีน เปรียบเปรยทำนองไทยก็เหมือนน้องเล็กของจีน ยกย่องจีนเป็นพี่ ซึ่งการสื่อสารในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าสหรัฐอเมริกาที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย จะรู้สึกยังไง มิหนำซ้ำ ในการพบนักธุรกิจจีนเพื่อขายไอเดียโปรเจกต์แลนบริดจ์ ชักชวนนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุน แต่อรรถาธิบายด้วยการใช้ปากกาเขียนลงบนกระดาษแบบลวกๆ ทั้งที่โครงการขนาดใหญ่เกือบ 3 แสนล้านบาท ควรจะมีเอกสารข้อมูลภาษาอังกฤษ ภาษาจีน มีอินโฟร์กราฟฟิกนำเสนอแบบมืออาชีพ แต่การทำอย่างนั้น สะท้อนว่าไม่มีความพร้อม ไม่เตรียมตัว ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศได้

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ตลอดเวลาเดือนกว่าที่ “เศรษฐา” ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นตั้งใจและทำงานด้วยความกระตือรือร้น แต่กลับไม่ได้เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาเท่าที่ควร จะเห็นจากตั้งแต่คั้งรัฐบาลเสร็จ ดัชนีหุ้นไทยยังคงไหลรูดลงมาอย่างต่อเนื่อง นักลทุนต่างชาติทะยอยขายหลายแสนล้านบาทแล้ว ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงมาเหลือ 1,399.35 จุด ลดลง 23.69 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ดัชนีหุ้นไทยหลุดจาก 1,400 จุด อาจเป็นเพราะวิตกกังวลจากปัญหาสงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตล์จะบานปลาย จะส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นกระทบถึงการบริโภคและการลงทุนในอนาคต

อีกทั้งกังวลและไม่มั่นใจนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ตอนนี้กำลังถูกต่อต้านอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า หากเงิน 5.6 แสนล้าน เป็นก้อนใหญ่ที่สุดที่จะมาการแจกให้ประชาชนในครั้งเดียวนั้น เกรงว่าจะเป็นการไปเพิ่มหนี้สาธารณะ อีกทั้งจนถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังอ้ำอึ้งตอบสังคมไม่ได้ว่า แหล่งเงินที่จะนำมาแจกให้กับประชาชนมาจากไหน อักเงินก้อนใหญ๋เข้าไปแล้ว จีดีพี.จะโตขึ้นเท่าไหร่  และจะเริ่มได้เมื่อไหร่ “เศรษฐา” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ ยังอ้ำอึ้ง ผลก็เลยยิ่งทำให้ขาดความเชื่อมั่น ยิ่งตอนนี้ค้าปลีกทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด พากันเกาะติดเรื่องนี้อย่างใกล้ใกล้ชิด หวั่นล่าช้าจะทำให้คนไม่มั่นใจ ส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัวลงเพราะความไม่ชัดเจนในนโยบาย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมา เป็นบทเรียนราคาแพงของ “เศรษฐา” นายกฯมือใหม่หัดขับต้องเรียนรู้ แต่ถ้ายังไม่สรุปบทเรียนอาจจะกลายเป็นบทเรียนของประเทศได้

………………………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img