วันจันทร์, เมษายน 29, 2024
หน้าแรกNEWS“สว.วันชัย”หวังรัฐบาล 11 พรรค เป็นจุดเริ่มต้นสร้างปรองดองสมานฉันท์ให้ประเทศ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สว.วันชัย”หวังรัฐบาล 11 พรรค เป็นจุดเริ่มต้นสร้างปรองดองสมานฉันท์ให้ประเทศ

“สมเจตน์” เชื่อดิ้นแก้รธน.หวังลบล้างผิดคดีทุจริต เพิ่มปมขัดแย้ง ท้าถ้าแก้ช่วงบ้านเมืองสงบจะยอมโหวตหนุนเพื่อไทย ขณะที่พรรคเล็กยก 10 ล้านเสียงข่มสว.“คำนูณ” แนะสว.ลดความเข้มลงมติ “วันชัย” หวังรัฐบาล 11 พรรค เป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้ประเทศ

เมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เข้าสู่ช่วงการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ

ต่อมา นายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายว่า ผ่านมา 100 วัน รัฐสภายังไม่บรรลุการลงมติเลือกนายกฯทำให้ประเทศตกอยู่ในวังวน วังเวง ประชาชนเคว้งคว้าง ขอให้สว.ทำหน้าที่พาประเทศออกจากวังวน ใช้สัมมาสติใช้วิจารณญาณเลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกฯ เพราะความล่าช้าการเลือกนายกฯคือต้นทุนที่สูงของประเทศที่ประเมินค่าไม่ได้ ต้องยุติความสูญเสียไม่ให้เรื้อรัง ความเนิ่นช้าการเลือกนายกฯ คือความรับผิดชอบ ร่วมกันของสว.

ด้านพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว. อภิปรายว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดแก้รัฐธรรมนูญทันทีที่ประชุมครม.นัดแรก อยากถามว่า รัฐธรรมนูญปี 60 มีปัญหาอะไรให้เร่งแก้ไข เป็นเพราะรัฐธรรมนูญนี้มีกลไกป้องกันนักการเมืองทุจริตเข้มงวด อาทิ ตัดสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิต การให้คดีทุจริตไม่มีอายุความ กลไกเหล่านี้ ทำให้พรรคเพื่อไทยที่มักมีปัญหาทุจริต คนสำคัญบางคนต้องหลบหนีคดี เพราะไม่มีอายุความ จำเป็นต้องเดินทางกลับประเทศไทยมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นหากมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ กลไกขจัดนักการเมืองทุจริตจะหายไป สอดคล้องความต้องการบางพรรคการเมืองที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญหมวดสถาบัน การแย่งแยกราชอาณาจักร การทำประชามติรัฐธรรมนูญใหม่จะยิ่งสร้างความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น เพราะการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างอำนาจองค์กรอิสระ ลบล้างความผิดให้นักการเมืองทุจริต เพิ่มประเด็นความขัดแย้งมากขึ้น จะกระทบความมั่นคงชาติร้ายแรงมากกว่าการแก้มาตรา 112

“ดังนั้นจะสนับสนุนนายกฯพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยจะเสียสัตย์ ให้ประเทศสงบ ยืนยันจะไม่เสนอแก้รัฐธรรมนูญทันที แต่จะเสนอในห้วงเวลาที่เหมาะสม เมื่อสังคมสงบสุข การเสียสัตย์ครั้งนี้จะได้รับคำสรรเสริญทำเพื่อประเทศ ถ้าทำเช่นนี้ ผมจะสนับสนุนนายกฯเพื่อไทย”พล.อ.สมเจตน์ กล่าว

นายเชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังสังคมใหม่ อภิปรายว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี ข้อครหาเรื่องการเลี่ยงภาษีที่ดิน โดยการแยกโอนการซื้อขายที่ดินเป็นรายวัน รายบุคคล 12 คน 12 วัน เพื่อภาษีที่ดิน 70 ล้านบาท ไม่ใช่ 580 ล้านบาทนั้น เป็นระเบียบของกรมที่ดินในการเสียภาษีให้ทำได้ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ส่วนที่หลายคนบอกว่าไม่รู้จักนายเศรษฐานั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะตลอดการเลือกตั้ง แคนดิเดตนายกฯทุกพรรคได้แสดงวิสัยทัศน์มาตลอด จะไม่รู้จักได้อย่างไร พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนเลือกตั้งจากรประชาชน 10 ล้านเสียง ถือว่าผ่านการตรวจสอบจากประชาชนมาแล้ว จึงมีความเหมาะสมเป็นนายกฯ

นายคำนูณ สิทธิสมาน สว. อภิปรายว่า สว.ควรใช้อำนาจเลือกนายกฯอย่างมีขอบเขต การให้ความเห็นชอบนายกฯวันนี้เห็นควรกลับคืนสู่หลักการทั่วไปคือ ให้เป็นไปตามเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร เพราะแคนดิเดตนายกฯที่ได้รับการเสนอชื่อไม่มีหลักคิดเป็นอันตราย ส่วนการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญจะถือเป็นภยันอันตรายหรือไม่นั้น เห็นว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเกือบทุกพรรคการเมือง การจะให้ครม.ทำประชามติในวันแรกการประชุมครม. ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะการทำประชามติและการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เคารพผลการลงประชามติ

“เพื่อความสบายใจของรัฐสภาและประชาชน ควรชี้แจงให้ชัดเจนเพื่อสร้างความสบายใจว่า ร่างแก้รัฐธรรมนูญนั้น ควรรับฟังความเห็นจากทุกพรรค สว. ผ่านการพูดคุยให้มากสุด และรูปแบบส.ส.ร.ที่จะเกิดขึ้น ต้องผ่านความเห็นจากสภาฯก่อน รวมถึงทบทวนระยะเวลาทำประชามติจะเป็นประโยชน์ ถ้าทำได้ก็จะให้ความเห็นชอบนายกฯตามเสียงข้างมาก”นายคำนูณ กล่าว

ต่อมาเวลา 13.05 น.นายวันชัย สอนศิริ สว. อภิปรายว่า ตนประกาศแสดงเจตจำนงตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง จนถึงหลังการเลือกตั้ง ว่าใครรวมเสียงข้างมากได้ สว.วันชัย จะโหวตให้นายกฯ จากพรรคการเมืองเหล่านั้น สิ่งที่ตนประกาศเจตจำนงทั้งก่อน และหลังการเลือกตั้ง ว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองเสียงข้างมาก เนื่องจากเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย บ้านเมืองเรากำลังเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย และจะต้องเป็นประชาธิปไตยเต็มใบต่อไป ตนจึงสนับสนุนให้เสียงส่วนใหญ่อันเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และเมื่อรวมเสียงข้างมากได้ ก็ถือเป็นความต้องการของคนไทยทั้งประเทศที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง และประการสำคัญคือเป็นการลดความขัดแย้งในบ้านเมือง การตัดสินที่จะให้ใครเป็นนายกฯนั้น ขึ้นอยู่กับสมาชิกรัฐสภา 750 คน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งกล่าวอ้างว่าคนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่มีคุณสมบัติ คน 750 คน จำเป็นต้องเชื่อคนคนนั้นที่ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภาอย่างนั้นหรือ ดังนั้น เสียงของ 750 คน จะเป็นเสียงชี้ขาดว่าใครจะเป็นนายกฯ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งกล่าวอ้าง แล้วเราก็ตัดสิทธิ์คนนั้น นี่คือแนวทางที่ตนยึดถือปฏิบัติ

นายวันชัย กล่าวด้วยว่า รัฐบาลที่จัดตั้งครั้งนี้รวมเสียงได้ 314 เสียง จาก 11 พรรคการเมือง ตนเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ก้าวข้ามความขัดแย้งจริงๆ เป็นรัฐบาลที่สลายขั้ว สลายสี สลายความเห็นต่าง จะนำมาซึ่งความปรองดองสมานฉันท์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆ หากดูในรัฐธรรมนูญมาตรา 257 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ระบุว่า การปฏิรูปประเทศคือการสร้างความสงบเรียบร้อย สามัคคีปรองดอง รวมถึงมาตรา 258 (5) ระบุว่า การปฏิรูปต้องมีกลไกแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธีภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องความขัดแย้งเป็นปัญหาในประเทศมา 20 ปี สร้างความเสียหายย่อยยับให้ประเทศมานาน ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกแม้แต่ในครอบครัว ก่อให้เกิดความเสียหายแบบประเมินค่าไม่ได้ มีการเผา มีการฆ่ากัน แม้แต่สื่อก็แบ่งฝ่าย บางครั้งถึงขนาดต้องปฏิวัติรัฐประหารกัน ทุกคนเรียกร้องว่าเราต้องปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูปมีหัวข้อใหญ่ คือ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์

“พอเห็นรัฐบาล 314 เสียง 11 พรรคการเมือง เป็นเรื่องลงตัวเหมาะเจาะ สลายสี สลายพรรค สลายบุคคล มีทั้งเหลืองทั้งแดงอยู่ในนั้น มีทั้งกปปส. นปช. พรรคการเมืองที่เป็นผู้นำเป็นทหารก็มี มาร่วมกันเป็นรัฐบาลในการบริหารประเทศ เป็นการปรองดองสมานฉันท์ที่เป็นรูปธรรมที่แท้จริง ทั้งหมดยิ่งกว่าแผนปฏิรูปใดๆทั้งสิ้น ตนอยากให้การโหวตนายกฯวันนี้เป็นการนับหนึ่งของการปรองดองสมานฉันท์ ตนสนับสนุนให้ประเทศเดินหน้า และให้มีรัฐบาลโดยเร็ว ส่วนจะดีหรือไม่ดี ตนว่าผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์พรรคการเมืองจาก 11 พรรคที่เป็นรัฐบาล”นายวันชัย กล่าว

นายวันชัย กล่าวว่า เมื่อได้รัฐบาลจาก 11 พรรค แบบสลายขั้ว สลายสี สิ่งที่จะมีในสภา เราจะมีพรรคฝ่ายค้านจากพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเป็นพรรคฝ่ายตรวจสอบที่เข้มแข็ง ที่สำคัญตัวนายกฯ ที่มีปัญหาถูกกล่าวหาเรื่องต่างๆ โดยหลักการที่ตนเป็นนักกฎหมาย ใช้หลักว่าตราบใดก็ตามถ้ายังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือยังไม่มีหน่วยงานใดวินิจฉัยข้อดกล่าวหา บุคคลนั้น ต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ดังนั้น ใครจะถูกกล่าวหาอย่างไร ตนคิดว่ายังมีหน่วยงาน องค์กรอิสระต่างๆที่จะตรวจสอบต่อไป และเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเป็นการตรวจสอบคนที่เป็นนายกฯต่อไป ด้วยเหตุนี้ตนจึงสนับสนุนพรรคการเมืองที่รวมเสียงข้างมาก แล้วเสนอบุคคลที่เป็นนายกฯในวันนี้ ตนสนับสุนนเต็มที่ในหลักการดังที่กล่าวมา หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้บ้านเมืองเดินได้ต่อไป เป็นไปตามความหวัง ความต้องการประชาชน และแค่ได้พูดถึงความรัก ความสามัคคีที่จะเกิดขึ้นก็ชื่นใจแล้ว หวังว่าจะเกิดขึ้นจากรัฐบาลนี้

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img