ถ้าเลือกได้ “พรรคประชาธิปัตย์” (ปชป.) คงอยากให้เรื่องฉาวที่เกิดขึ้นกับ “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. ผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสมาชิกสภากทม. (ส.ก.) ไปก่อน
แต่ในเมื่อเหตการณ์เกิดขึ้นแล้ว ก็หนีไม่พ้น คงเป็นเป็นเรื่องที่พรรคเก่าแก่ต้องยอมรับสภาพ จากนี้ไปต้องเร่งดับไฟร้อน ไม่ให้ส่งผลกระทบกับพรรค จนทำให้เป็น “จุดอ่อน” ถูกฝ่ายตรงข้ามนำมาขยาย กลายเป็น “ตราบาป” ส่งผลกระทบไปถึงการเลือกตั้งสนามใหญ่ อย่าลืมว่า “พฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ” การข่มขืนผู้หญิง ถือเป็นเรื่องที่สังคมไทย “ยากจะยอมรับได้” ยิ่งเกิดจากการกระทำโดยตัวแทนประชาชน มีบทบาทในสังคมและสื่อสาธารณะ
แม้ข้อกล่าวหาที่เกิดกับ อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. ซึ่งถูกดึงมาช่วยงานด้านเศรษฐกิจ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ “ผอ.การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.” จะต้องรอผลพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม แต่เหนือกว่ากระบวนยุติธรรม คือการยอมรับจากประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แม้ “ปริญญ์” จะประกาศลาออกจาก ทุกตำแหน่งในพรรคปชป. จากนั้นก็มีกระแสเรียกร้องให้ “ผู้บริหารพรรคปชป.” ต้องร่วมแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องฉาวที่เกิดขึ้น
ซึ่งในที่สุด “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ หัวหน้าพรรคปชป. ก็ต้องออกมาแถลงข่าว เพื่อยุติไฟร้อนที่อาจจะลุกลามเข้ามาในพรรค ในฐานะที่ดึงอดีตนักธุรกิจคนดัง ทายาทอดีตผู้บริหารปชป. เข้ามาร่วมงาน หวังให้เป็น จุดขายเรื่องทีมเศรษฐกิจ
หัวหน้าพรรคปชป.ระบุว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และ ขอกราบขอโทษต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในสิ่งที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของพรรค ในฐานะหัวหน้าพรรค ตนมีส่วนสำคัญในการนำนายปริญญ์เข้าพรรค แม้กระบวนการจะต้องผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และผ่านการลงคะแนนให้ความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของพรรคก็ตาม
หรือแม้แต่กรณีที่เราไม่อาจทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเกิดในยุคที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค ก็หนีไม่พ้นที่ต้องรับผิดชอบ และหนีไม่พ้นที่ตนต้องร่วมกับกก.บห. แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อถูกถามว่า มีกระแสสังคมเรียกร้องให้ กก.บห. และ หัวหน้าพรรค แสดงความรับผิดชอบ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เราได้ไตร่ตรอง 2 แนวทาง แต่สุดท้ายก็มี 2 มุม หากอยู่ๆ ก็ลาออก แล้วทิ้งปัญหาไว้ ก็จะเป็นการหนีปัญหา นั่นคือความไม่รับผิดชอบ เราต้องแก้ปัญหาให้ลุล่วง ไม่ใช่ทิ้งปัญหาให้คนรุ่นหลัง
อย่างไรก็ตาม กรณีปมร้อนที่เกิดขึ้นในพรรคปชป. มีข่าวอดีตผู้บริหาร และ คนใกล้ชิด เฝ้ามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเกาะติด ซึ่งถูกมองว่า อาจหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน กก.บห. ต้องลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ กับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ “จุรินทร์” ต้องพ้นจาก เก้าอี้หัวหน้าพรรค เพราะเพราะฝ่ายที่พ่ายแพ้ในการคัดเลือกผู้บริหารพรรคปชป. ในช่วงที่ผ่านมา อาจคิดว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม วางมือทางการเมือง
บุคลากรของพรรคที่มีศักยภาพ ในการช่วงชิงเก้าอี้ผู้รัฐบาล น่าจะเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคปชป. ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกฯ มีคุณสมบัติความเหมาะสมกว่า เมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวมกับ “จุรินทร์” และแกนนำพรรคคนอื่นๆ นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา ก็มีข่าวบรรดาสมาชิกพรรคที่มีบทบาทหลายคน ต่างทยอยลาออกจากพรรคปชป. อย่างต่อเนื่อง
แม้บางคนต้องการไปชุบตัวในบ้านหลังใหม่ เนื่องจากได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า บางคนก็ไม่พอใจการบริหารงานของ “จุรินทร์” และ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ เลขาธิการพรรคปชป. แต่ท่ามกลางความขัดแย้งในพรรคเก่าแก่ ที่ถูกยกให้เป็นสถาบัน ไม่ว่าใครจะก้าวเข้ามาคุมพรรคเก่าแก่ ก็ย่อมเกิดความไม่พอใจ เพราะมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย เพียงแต่ว่า ถ้ากลุ่มที่สนับสนุน “อภิสิทธิ์” ให้กลับมามีอำนาจ อาจเสนอให้พรรคปชป. ถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่า มีการพูดคุยในหมู่สมาชิกส.ส.และอดีตส.ส.ของพรรค ถึงกรณีของ “ปริญญ์” ว่า ช่วงที่ “จุรินทร์” เสนอชื่อ “ปริญญ์” ให้มาเป็นรองหัวหน้าพรรค และทีมเศรษฐกิจทันสมัย ท่ามกลางการไม่เห็นด้วยของ “อภิสิทธิ์” และ ส.ส.หลายคนที่รู้จักประวัติปริญญ์ ได้เคยทักท้วงและคัดค้าน เพราะไม่เคยผ่านงานการเมืองมาก่อน ไม่เคยเป็นส.ส.หรืออดีตผู้สมัครส.ส.
แต่ปรากฏว่า “จุรินทร์” ยังยืนยันเสนอชื่อ “ปริญญ์” ให้มาเป็นรองหัวหน้าพรรค และเป็น หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย เพื่อต้องการสร้างภาพให้เห็นว่า สามารถดึงคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นทีมอะเวนเจอร์ ซึ่งขณะนั้น “กรณ์ จาติกวนิช” ยังเป็นสมาชิกพรรค และเป็น อดีตรมว.คลัง ที่ถูกมองข้ามหัวไป จนทำให้ “กรณ์” ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและไปตั้ง “พรรคกล้า” ในที่สุด
แต่ก็มีข่าวอีกกระแสระบุว่า ผู้อาวุโสในพรรคหลายคนไม่พอใจ “กรณ์” เนื่องจาก ปัญหาเงินบริจาคของพรรค ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากคะแนนที่ได้รับในการลงชิงตำแหน่หัวหน้าพรรคปชป. โดย “กรณ์” ได้ไม่ถึง 10 คะแนน
อีกทั้งยังมีประเด็นที่เข้าซ้ำเติมให้พรรคปชป. ให้ย่ำแย่เข้าอีก หลัง “ปริญญ์” ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคปชป. ได้มีการพูดคุยภายในกลุ่มไลน์ของกก.บห. ที่มีสมาชิกในนั้น รวม 36 คน โดย “ศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้นำข้อความที่ “ธนัท ธนากิจอำนวย” หรือ “ไฮโซลูกนัท” ที่ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เรียกร้องให้มีการตรวจสอบจริยธรรมกก.บห.ที่สนับสนุนให้ “ปริญญ์” เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค ซึ่ง “จุรินทร์” ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ส่งข้อความในไลน์ว่า “แปลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยครับ” ขณะที่ “ศรีสมร” ตอบว่า “ไม่มีความเห็นค่ะท่าน”
แต่ที่กลายเป็นประเด็น และตอกย้ำให้ภาพลักษณ์พรรคปชป. ให้ย่ำแย่ลงไปอีก คงหนีไม่พ้น “มัลลิกา บุญมีตระกูล” ซึ่งเป็นคนสนิทของ “จุรินทร์” ได้โพสต์ข้อความสวนขึ้นมาในลักษณะเปิดประเด็น เหน็บแนมคนในพรรคอย่างดุเดือดว่า “พฤติกรรมของคนหนึ่งคน ควรถูกสอบจริยธรรมทั้งกก.บห.พรรค รึ ? แปลว่า อยากอะไร? อยากเปลี่ยนหัวหน้าพรรค? อยากเปลี่ยนกก.บห.หรืออยากอะไร? เรื่องนี้เป็นกระบวนการหรือเปล่า
ในฐานะหนึ่งในกก.บห. 39 คน เรื่องของปริญญ์ยังไม่รู้เลยว่า “ผิด ถูก” เป็นอย่างไร แต่ถ้าเทียบกัน!! เรื่องที่คนรู้กันทั้งพรรคว่า คนๆ หนึ่ง เป็น “ชู้” ของเมียคนอื่นมานานนม !! แบบนี้ ต้องสอบจริยธรรมไหม หรือพวกที่ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็น “กิ๊ก” ของผัวคนอื่น หรือพวกที่เอาเสื้อไปแขวนไว้บนรถของผัวคนอื่นเพื่อไปงานด้วยกัน … หรือให้ผัวคนอื่นขับรถไปรับถึงบ้านตนเอง แบบนี้เรียกว่าต้องสอบจริยธรรมไหม? …. หรือ คนบางคน เป็น “ชู้” ของผัวคนอื่นมานาน จนถึงขั้นสุด “รู้กันทั้งบาง”
มาวันหนึ่ง เปลี่ยนทางจากผัวของอีกคน มาเป็นผัวของอีกคน !! แล้วคนๆนั้น เป็น ส.ส. ในสภาด้วย !! แบบนี้ เราต้องสอบจริยธรรมไหม ???? ใครจะสอบ !!!! ถ้าต้องตั้งกรรมการ มาสอบจริยธรรมกก.บห.ตั้งเลย !! สอบตั้งแต่กรรมการเนี่ยแหละ”
หลังจากโพสต์ข้อความนี้ในกลุ่ม กก.บห.ปรากฏว่า ในห้องไลน์ดังกล่าวเงียบกริบ
ขณะที่ในไลน์กลุ่มชื่อ “อดีต ส.ส.และส.ส.พรรคปชป.” ที่มีสมาชิกในห้องรวม 155 คน “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ตรัง โพสต์ข้อความว่า “ขออนุญาตนะครับ เรื่องที่เป็นข่าวฉาวในขณะนี้ กระทบคนที่ทำที่พื้นที่อย่างหนัก ผมเชื่อว่า ผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม.และส.ก.จะยิ่งหนักกว่า หนักที่สุดคือชื่อเสียงของพรรคเรา ที่อีกไม่กี่เดือนจะมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว
ผมขอให้ผู้บริหารมีท่าทีที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้ ที่จะสร้างความมั่นใจกับสังคมว่า พรรคปชป.จะไม่เพิกเฉย ดูดาย หรือเกียร์ว่าง กับเรื่องที่เกิดขึ้นครับ ขออนุญาตที่ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา”
หลังจากนั้น ไม่มีสมาชิกพรรคหรือผู้บริหารพรรคตอบ ต่อมา “รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท” อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคปชป. ระบุตอบว่า “ปัญหาต่างๆ ที่ไม่จบก็เพราะไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอย่างตรงไปตรงมา เห็นใจคนลงพื้นที่ค่ะ”
ขณะที่ “บุญเลิศ ไพรินทร์” อดีตส.ส.ฉะเชิงเทรา ได้โพสต์ต่อว่า “น่าเสียดายเหตุการณ์นี้ ไม่น่ามาซ้ำเติมพรรคให้ตกต่ำลงไปในสายตาประชาชนเลย สงสารพี่เอ้ และบรรดาผู้สมัครส.ก.ทุกคน ถ้าฝ่ายบริหารไม่สืบสวนความจริงและออกมาขอโทษประชาชนในเรื่องนี้ ก็จะกระทบภาพของพรรคในอนาคตอีกด้วยครับ”
ด้าน “ชวน หลีกภัย” อดีตหัวหน้าพรรค ในฐานะผู้อาวุโสที่สุดในห้องไลน์กลุ่มนี้ ได้ส่งข้อความว่า “อย่ากลัวปัญหา เมื่อมีปัญหา ก็อย่าหนีปัญหา” หลังจากนั้นไม่มีการพูดคุยถึงประเด็นต่ออีก
จากนี้ไปสิ่งที่จะวัดได้เร็วที่สุด ดูว่าผลพวงจากวิบากกรรม อันเนื่องมาจากจากข้อกล่าวหาต่ออดีตรองหัวหน้าพรรคปชป. เกี่ยวกับพฤติกรรมส่วนตัว ถูกกล่าวหากระทำต่อผู้หญิง ในพฤติกรรมที่ไม่ที่เหมาะสม หลายกรรม-หลายวาระ จะกระทบกับความรู้สึกประชาชนแค่ไหน ในช่วงเวลาอันใกล้ คงต้องวัดจากการเลือกตั้งชิงอำนาจบริหารพื้นที่เมืองหลวง รอดูบทสรุปจะออกมาอย่างไร???
และต้องช่วยภาวนา กรณีมีกระแสข่าวช่วงต้นเดือนพฤษภาคม จะมี “นักเคลื่อนไหวทางการเมือง” พา “คนในครอบครัวหนึ่ง” ออกมาเปิดโปงถึงพฤติกรรมผู้สมัครบางคน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการถือครองทรัพย์สิน คงไม่เกี่ยวข้องกับตัวแทนพรรคปชป. ที่หวังทวงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. เพราะถ้ามีเรื่องฉาวเกิดขึ้นซ้ำขึ้นอีก คงยากที่จะคาดเดากับสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นกับพรรคที่มีสัญลักษณ์ “พระแม่ธรณีบีบมวยผม” จริงๆ
…………………………….
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย..“แมวสีขาว”
