ณ เวลานี้ แนวทางการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย จากปัญหาค่าไฟแพง ยังไม่มีการอนุมัติกันออกมาอย่างเป็นทางการจากที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่ง!! อาจเป็นเพราะ เงื่อนไขทางการเมือง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรี ที่ให้รองนายกรัฐมนตรี เข้ามารักษาการแทน ซึ่งตามกฎหมายแล้ว จะมีอำนาจในการใช้งบประมาณในส่วนของ งบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน ได้มากน้อยเพียงใด
ขณะที่เหตุใหญ่ใจความ…คงหนีไม่พ้น เรื่องของ งบประมาณ!! ที่รัฐบาลมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยเสียมากกว่า เพราะเวลานี้แม้จะอยู่ในช่วงเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2565 ก็ตาม
ขณะที่วงเงินที่กระทรวงพลังงาน ได้ตั้งธงไว้ในการดูแลช่วยเหลือเรื่องค่าไฟแพง จะอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุม ใน 2 มาตรการ
ทั้งกรณีแรก คือ กลุ่มผู้ที่ใช้ไฟ ประเภทบ้านอยู่อาศัย ไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ที่ได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟที โดยจะเสียเท่ากับงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 65 เรียกง่าย ๆ ว่า กลุ่มผู้ใช้ไฟในกลุ่มนี้ จะจ่ายค่าไฟในงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.นี้ เท่า ๆ ของเดิมราว ๆ 3.78 บาทต่อหน่วย
กรณีที่สอง คือ กลุ่มผู้ใช้ไฟระหว่าง 301-500 หน่วยต่อเดือน ก็จะได้รับส่วนลดจากค่าเอฟทีที่เพิ่มขึ้น แบบขั้นบันได ตั้งแต่ 15-75% พูดง่าย ๆ หากใช้ไฟมากก็ต้องจ่ายมากตามสัดส่วน แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่ใช้ไฟเกินเดือนละ 500 หน่วย ก็ต้องรับภาระค่าเอฟทีที่เพิ่มขึ้นไปเต็ม ๆ หรือต้องจ่ายค่าไฟในอัตราหน่วยละ 4.72 บาท
ด้วย…จำนวนงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน ที่เหลือยู่ในปี 2565 เหลืออยู่ราว ๆ 10,000 ล้านบาท หากจะเสนอขอใช้งบกลางฯ ทั้ง 8,000 ล้านบาท อาจหมิ่นเหม่เกินไป
เพราะตอนนี้พายุกำลังเข้า ฝนฟ้ากำลังมา น้ำมวลใหญ่ก็รอปะทะ จึงจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการแก้ไขปัญหาเรื่องภัยพิบัติเร่งด่วนไปก่อน ที่ครม.ล่าสุด ให้ความเห็นชอบไปแล้วกว่า 5,282 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ 69 จังหวัด ไปก่อน
“สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน สำทับไว้ชัดเจนว่า ยังพอมีเวลา… เพื่อให้ ครม.ตัดสินใจ แม้มาตรการช่วยเหลือเดิมได้พ้นกำหนดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็ตาม
แต่ในเรื่องของการคิดค่าไฟ หรือการเก็บค่าไฟจากผู้ใช้ไฟ จะเก็บจริงก็คือในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ ระหว่างนี้ กระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแล การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เป็นหน่วยงานในการจัดเก็บค่าไฟจากผู้ใช้ไฟ ต้องกลับไปจัดทำรายละเอียด ในการเสนอของบประมาณให้ชัดเจนรอบคอบอีกครั้ง
ที่แน่ ๆ เชื่อได้ว่าวงเงินงบประมาณ 8,000 ล้านบาทนี้ คงไม่สามารถจัดสรรมาจากงบประมาณปี 2565 แต่เพียงปีเดียวได้ เพราะยอดเงินก็เหลือน้อยเต็มแก่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอการจัดสรร มาจากงบประมาณ ปี 2566 ที่กำลังจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.65 นี้ด้วย
ที่ต้องวัดใจ!! อยู่ที่ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ทำหน้าที่รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี จะเลือกตัดสินใจแบบไหน เพราะหากยังยืนการให้ความช่วยเหลือตามเดิม คือ ก.ย.-ธ.ค.65 ก็ต้องใช้งบประมาณทั้งจากปี 65 และปี 66
แต่ถ้าเลือกช่วยเหลือแบบไม่ต้องคิดมากเรื่องงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ก็ต้องลดจำนวนเดือน เหลือเพียงแค่ 3 เดือน คือ ต.ค.-ธ.ค.65 เพื่อขอใช้งบกลางฯ จากปีงบประมาณ 2566 ได้
เรื่องนี้!! จะกลายเป็นอีกเรื่อง ที่รักษาการนายกฯ “บิ๊กป้อม” ต้องตัดสินใจ เพราะเชื่อได้ว่า กระทรวงมหาดไทย ย่อมเสนอเรื่องเพื่อให้ครม.ตัดสินในหลายเงื่อนไข
อย่าลืมว่า…ก่อนหน้านี้ สาส์นหรือข้อมูล ที่ส่งถึงคนไทยทั่วประเทศ คือการให้ความช่วยเหลือ เป็นเวลา 4 เดือน คือตั้งแต่ก.ย.-ธ.ค.65 หากการตัดสินใจเบี่ยงเบนออกไปไม่ตรงกับสาส์นแรก ที่ได้รับ ก็อาจกระเทือนเก้าอี้รัฐบาลได้
เพราะเรื่องของค่าไฟฟ้าแพง นี้ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของคนไทยทั้งชาติที่ต้องเผชิญกับภาวะ “แพงทั้งแผ่นดิน” ซึ่งกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั่วทุกสารทิศ
ที่สำคัญ ค่าไฟตามอัตราใหม่ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ที่คำนวณออกมาแล้วที่หน่วยละ 4.72 บาท ถือเป็นการทำนิวไฮ หรือเป็นอัตราค่าไฟที่สูงที่สุดอีกครั้ง
ทั้งหมด…จึงต้องมารอดูกันว่า รัฐนาวา ที่มี “บิ๊กป้อม” เป็นผู้บังคับหางเสือ จะเลือกตัดสินใจอย่างไรเพื่อโอบอุ้มประชาชนคนไทยทั้งชาติ!!
……………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
