วันศุกร์, เมษายน 26, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTS“มั่นคง” จับตาการแย่งชิงมวลชนรองรับเลือกตั้ง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“มั่นคง” จับตาการแย่งชิงมวลชนรองรับเลือกตั้ง

สถานการณ์การเมืองยังคงร้อนแรง ฝ่ายความมั่นคงจับตามองกลุ่มเห็นต่างที่ยังก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อด้อยค่ารัฐบาลและกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก

@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ TheKeyNews ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 18 ก.ย.64 โผทหารปลายปีออกมาเป็นที่เรียบร้อย มีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง แต่เห็นรายชื่อแล้วก็ไม่ได้พลิกโผแต่ประการใด ขอแสดงความยินดีกับนายทหารทั้ง 771 นาย

@@@…….เริ่มกันด้วยสถานการณ์การเมือง ฝ่ายความมั่นคงยังคงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเห็นต่าง ถึงแม้จะไม่มีความเคลื่อนไหวในการจัดกิจกรรม แต่กลุ่มทะลุแก๊ซและแนวร่วมที่นิยมความรุนแรงยังคงรวมตัวสร้างสถานการณ์ความรุนแรงที่บริเวณแยกดินแดงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการมุ่งโจมตีสถาบันฯ รวมทั้ง การเผาทำลายสถานที่และทรัพย์สินของทางราชการ

@@@…….ขณะที่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายเพื่อยับยั้งหรือยุติการเคลื่อนไหวของกลุ่มในพื้นที่ดังกล่าวได้ เนื่องจากเกรงผลกระทบกับประชาชนโดยรอบ ซึ่งคาดว่ากลุ่มเห็นต่างจะยังคงสร้างสถานการณ์ความรุนแรงต่อไปจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์สำคัญของกลุ่มฯ คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปสถาบันฯ และที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะต้องลาออก ทั้งนี้พบว่า เวลานี้มีการแย่งชิงการเป็นแกนนำ เพื่อดึงเสียงมวลชนมาเป็นพวก และเพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในครั้งหน้า

ม็อบแยกสามเหลี่ยมเดินแดง 29ส.ค.64

@@@…….อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน การชุมนุมป่วนเมืองบนถนนของม็อบผิดกฎ หมายโดยเยาวชนที่เสพข้อมูลบิดเบือน ได้แผ่วลงอย่างมาก เห็นได้ชัดเจนว่าประชาชนทั่วไปให้ความสนใจน้อยมาก ขณะที่กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังกำลังพยายามปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาระดับการดำรงอยู่ ทั้งนี้ คาดหมายว่าจากนี้ไปฝ่ายการเมืองที่มุ่งล้มรัฐ ล้มสถาบัน กำลังมุ่งดำเนินกิจกรรมแย่งชิงความนิยมจากประชาชนมากขึ้นเพื่อรองรับการเลือกตั้งรอบใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า หรือเมื่อไรก็เป็นได้

ดังนั้น ฝ่ายความมั่นคง จึงหวังให้มีการเสนอปัญหา และข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ต่อประเทศชาติจากฝ่ายการเมือง เพื่อให้ประเทศ ชาติยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงบนการเฝ้าระวังมิให้การระบาดของโควิดระลอกใหม่เกิดขึ้นอีก หรืออยู่ร่วมกับมันให้ได้ ซึ่งมิใช่มีแต่วาทะกรรมทางการเมืองของฝ่ายการเมือง 2 ขั้วสุดโต่งเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติแล้ว ยังจบลงด้วยความขัดแย้ง และความรุนแรงที่ไม่จบสิ้นในที่สุด

@@@……พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับกระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ประสานการทำงานกับ กระทรวงเกษตร (กษ.) สนับสนุนการทำงานของ สทนช.โดยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ร่วมเฝ้าระวังและเตรียมแผนรองรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย กว่า 1,500 ตำบล ใน 58 จังหวัด ตามการประเมินผลกระทบจากสถานการณ์น้ำและฤดูฝนที่มีปริมาณฝนตกเพิ่มมากขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่มีโอกาสพัฒนาเป็นลานีญา ซึ่งคาดการณ์ว่าเดือน ก.ย.- ต.ค. 64 จะมีพายุ 2-3 ลูก เคลื่อนเข้าไทย ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง อาจเกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ

@@@……สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กระทรวงกลาโหมโดยทุกเหล่าทัพ ยังคงจัดกำลังพล ยานพาหนะ รวมทั้งเรือผลักดันน้ำและเครื่องมือช่าง เข้าไปสนับสนุนการทำงานของจังหวัดที่ประสบอุทกภัยในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ และ อ.เมือง จ.ตาก เพื่อช่วยกันเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะปกติ และกำลังอยู่ระหว่างเร่งเข้าไปสนับสนุน 5 อำเภอ ในจว.พิจิตร ที่ฝนตกหนักสะสม น้ำป่าไหลหลากเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ปัจจุบัน

@@@……พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้แสดงความห่วงใยต่อสถาน การณ์น้ำในฤดูฝนนี้ เนื่องจากปริมาณน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่จนถึงเดือน พ.ย.นี้ กำชับให้ทุกหน่วยของกองทัพบก เตรียมการรับมือกับสถานการณ์น้ำและการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เน้นเรื่องการเตรียมแผนการและเข้าปฏิบัติโดยทันที ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยทหารกองทัพบกได้เข้าดูแลประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ได้ตรงกับความเดือดร้อน ให้ดำรงการช่วยเหลือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

สำหรับสถานการณ์โควิดที่รัฐบาลได้มีการปรับมาตรการใน ช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ให้ทุกหน่วยของกองทัพบกยังคงดำรงความเข้มงวดในการป้องกันการแพร่ระบาดทั้งในระดับหน่วย และระดับบุคคล ครอบคลุมทั้งการทำงานในที่ตั้งปกติ ภารกิจช่วยเหลือประชาชน และการดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กำลังพลและครอบครัวมีความรับผิดชอบและตระหนักในการปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโควิดเป็นอย่างดี ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โควิด เพื่อให้พร้อมช่วย เหลือประชาชนได้ในทุกโอกาส

 

@@@……สำหรับการช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้ความสำคัญและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยทหารทั่วประเทศระดมทรัพยา กรที่มีอยู่ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์สนับสนุนรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค, การรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ, การดูแลผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

@@@……หนึ่งในภารกิจสำคัญที่กองทัพบกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การดูแลช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ รวมทั้งพื้นที่ห่างไกล และตลอดแนวชายแดนทั่วประเทศไทยโดยดำเนินการในรูปแบบโครงการต่าง ๆ อาทิ การช่วยซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรในทุกภูมิภาค เพื่อนำไปแจกจ่ายชุมชนผ่านโครงการ “Army Delivery” พร้อมแจกจ่ายหน้ากากอนามัย, เจลแอลกอฮอล์ และอุปกรณ์ป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของโรค เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนในช่วงสถาน การณ์โควิด-19 นอกจากนี้หน่วยทหารของกองทัพบกในแต่ละกองทัพภาค ได้จัดรถรับส่งประชาชน ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และกลุ่มผู้สูงอายุ ไปรับบริการฉีดวัคซีนตามการจัดสรรของกระทรวงสาธารณสุขในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยกำลังพลจิตอาสาของกองทัพบกได้ช่วยอำนวยความสะดวกผู้เข้ารับบริการ

@@@……ในส่วนของการดูแลผู้ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางนั้นกองทัพบกได้สนับสนุนยานพาหนะ, กำลังพลจิตอาสาและบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งอาสาสมัครกิจการพลเรือน (อส.กร.) เดินทางช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และผู้ด้อยโอกาส ที่อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลทุรดันการ ที่ยากลำบากต่อการเข้าถึง อาทิ แนวชายแดน, พื้นที่บนยอดดอยหรือเขาสูง เป็นต้น โดยเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้เข้าใจเกี่ยวกับการดูแลตนเองตามวิธีป้องกันการติดเชื้อโควิดขั้นสูงสุดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention), การให้บริการฉีดวัคซีนโดยโรงพยาบาลสังกัดกองทัพบกทั้ง 37 แห่งทั่วประเทศ, การตรวจคัดกรองโควิด (ATK), การดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวในระบบการกักตัวในชุมชน (Community Isolation) รวมทั้งการช่วยเคลื่อนย้ายและส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการเร่งด่วนฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที

@@@……การช่วยเหลือประชาชนในชุมชนห่างไกลเหล่านี้เป็นห่วงใยของผู้บัญชาการทหารบกที่เน้นย้ำให้กำลังพลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ให้เข้าถึงระบบสุขภาพแม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ที่บางกรณีอาจต้องเดินเท้าเพื่อเข้าถึงหมู่บ้านหรือชุมชนนั้น ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งประสานความร่วมมือ กับคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดตั้งจุดตรวจร่วมบริเวณรอยต่อของพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดซึ่งนอกจากได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่สัญจรไปมาแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงในแพร่ระบาดของโรคไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย  ทั้งนี้กองทัพบกจะยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติทุกภารกิจท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเต็มศักยภาพ โดยส่งมอบความห่วงใยสู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อเคียงข้างช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน และเป็นที่พึ่งของประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

@@@……พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานในพิธีวางกระดูกงูเรือลากจูงขนาดกลาง ณ อู่ต่อเรือ บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี พล.ร.ท.วุฒิชัย สายเสถียร รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือลากจูงขนาดกลาง ให้การต้อนรับ  ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์กองทัพเรือ พ.ศ.2558 – 2567 โครงสร้างกำลังรบ ได้กำหนดให้มีเรือลากจูง สำหรับใช้ปฏิบัติราชการในพื้นที่ต่าง ๆ จำนวน 8 ลำ โดยปัจจุบันมีเรือลากจูงใช้ปฏิบัติราชการแล้ว จำนวน 6 ลำ และมีแผนปลดระวางประจำการ 1 ลำ ซึ่งจะเหลือเรือลากจูงใช้ในราชการ เพียง 5 ลำ กองทัพเรือจึงมีความจำเป็นในการจัดหาเรือลากจูงขนาดกลางเพื่อมาทดแทน ซึ่งการต่อเรือลากจูงขนาดกลางลำนี้ จะทำให้มีเรือลากจูงที่เพียงพอต่อการสนับสนุนเรือขนาดใหญ่และเรือดำน้ำที่กองทัพเรือจะได้รับมอบมาใช้ปฏิบัติราชการในปี 2567

@@@……พล.อ.อ.แอร์บูล  สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมผู้บัญชาการทหารอากาศอาเซียน ครั้งที่ 18 (18th ASEAN Air Chief Conference : 18th AACC) ซึ่งกองทัพอากาศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม สำหรับการประชุมในครั้งนี้เป็นการจัดการประชุมทางไกล (VTC) เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายใต้แนวคิดหลัก “ระดมสรรพกำลังและขีดความสามารถ พร้อมกับความร่วมมือระ หว่างกันในระดับสูงสุด ในการต่อสู้กับความท้าทายรูปแบบใหม่” (Optimizing Capabilities and Cooperation against New Challenges) ด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศอาเซียนในเรื่อง การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ (Countermeasures against COVID-19) การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (Humanitarian and Disaster Relief : HADR) และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber security) โดยมีผู้ช่วยทูตทหารของแต่ละประเทศเข้าร่วมรับฟังและเป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารอากาศลาวในการรับมอบหน้าที่เจ้าภาพจัดการประชุมผู้บัญชาการทหารอากาศอาเซียน ครั้งที่ 19 ณ ประเทศลาว

 ………………………

 คอลัมน์ : “Military Key”

โดย “รหัสมอร์ส”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img