วันเสาร์, เมษายน 27, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSเศรษฐกิจไทยปี 2566..ผันผวนและท้าทาย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เศรษฐกิจไทยปี 2566..ผันผวนและท้าทาย

เผลอแผล็บเดียวปี 2565 กำลังจะผ่านพ้นไปพร้อมๆ กับย่างก้าวเข้าสู่ปี 2566 ท่ามกลางความตื่นเต้นระทึกในหัวใจว่า ชะตากรรมในปีหน้าจะเป็นเช่นไร หลังจากปีนี้กำลังจะผ่านพ้นไปด้วยความทุลักทุเล ต้องเจอกับวิกฤติต่างๆ หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ที่มีระเบิดเวลาหลายลูกรอการถอดสลักในปีหน้า

สอดคล้องกับสิ่งที่ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ย้ำเตือนว่า ปีหน้ากับระเบิดลักษณะนี้ยังมีอยู่เยอะ ที่น่ากลัวคือไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนบ้าง จึงอยากเตือนให้ทำใจเตรียมรับมือกับข่าวไม่ดี ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นตก ต่างชาติขนเงินกลับ ค่าเงินอ่อนลง

แต่อย่างไรก็ตาม ในมุมพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังพอจะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง พร้อมกล่าวย้ำว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจจะโตไม่ถึง 3.8% ตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่อย่างน้อยจะไม่เลวร้ายถึงขั้นโตต่ำกว่า 3% หรือพูดง่ายๆ คือ เศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังคง Takeoff อยู่ เพียงแต่จะไม่ Smooth เท่านั้น

น่าสนใจเมื่อ “ดร.เศรษฐพุฒิ” ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนภัยเศรษฐกิจในปี 2566 ประเด็นหลัก ต้องการเตือนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้อง “ตั้งการ์ดสูง” เพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจมาเยือน แต่จะมารูปแบบไหนท่านเองก็ยังไม่รู้ แต่เชื่อว่ามาแน่นอน โดยบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่า “เป็นความผิดเพี้ยนของตลาด” หรือ “Market Dysfunction” นั่นคือ อาการที่ตลาดเริ่มไม่ทำงานตามปกติที่ควรจะเป็น

นอกจากนี้ยังย้ำว่า เรื่องนี้คนยังพูดถึงน้อยมาก แต่มีความสำคัญ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ต่างกับสุภาษิตที่ว่า “น้ำลดตอผุด” ซึ่งที่ผ่านมาทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ กดดอกเบี้ยไว้ระดับต่ำ เมื่อถึงจุดหนึ่งปัญหาต่างๆ ก็เริ่มโผล่ออกมาให้เห็น

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าธปท.

ผู้ว่าฯแบงก์ชาติยังบอกอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น หากไปเกิดในจุดที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ก็อาจไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรมาก แต่ระยะหลังปัญหาต่างๆ มักไประเบิดในจุดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เช่นทุกครั้งเมื่อมีปัญหา เราก็พอจะรู้ว่าปัญหาจะตกอยู่ที่กลุ่มเอสเอ็มอี หรือประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ แต่ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ปัญหารอบนี้ดันไปเกิดกับประเทศและตลาดที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด และยังเกิดในสินค้าที่มั่นคงที่สุด…อีกด้วย

พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คือ กรณีของอังกฤษ เป็นประเทศที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหา ที่สำคัญยังไปเกิดกับตัวพันธบัตรรัฐบาล ไปเกิดในกลุ่ม pension fund (กองทุนบำเหน็จบำนาญ) สะท้อนว่า สถานการณ์เวลานี้ปัญหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นในจุดไหนก็ได้ ความเสี่ยงจึงมีสูงมากกว่าปกติ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือ อาการของ “Market Dysfunction” หรือ “ตลาดผิดเพี้ยน” นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่ ผู้ว่าการแบงก์ชาติให้ความเป็นห่วง อันแรกคือ ปัญหา Geopolitics หรือ “ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์” ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาวอย่างแน่นอน ส่วนอีกอัน คือ การดำเนินนโยบายแปลกๆ ของภาครัฐ ซึ่งช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างๆ เริ่มหาเสียง และก็เริ่มเห็นการเสนอนโยบายที่อาจบ่อนทำลายเศรษฐกิจระยะยาว เช่น การพักหนี้ต่างๆ

ดร.เศรษฐพุฒิยังแนะว่า อยากให้ดูบทเรียนในต่างประเทศเป็นตัวอย่าง เช่น ในอังกฤษชัดเจนมาก เพราะเห็นได้ชัดว่า “ตลาดจะ Punish stupid policy” หรือที่เรียกว่า “ตลาดจะลงโทษนโยบายโง่ๆ” ขณะที่กรณีตัวอย่างในไทยที่น่ากังวลคือ นโยบายประชานิยมที่ดูดีระยะสั้นๆ เช่น ล้างหนี้ กยศ. หรือ ลบเครดิตบูโร เป็นต้น

อาจจะกล่าวได้ว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนและมีความเสี่ยงที่มาจากหลายมิติ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องโควิด ทำให้ผลกระทบมีความหลากหลาย จากการส่งออกที่ชะลอลงจากเศรษฐกิจประเทศหลักชะลอ ผลกระทบมาจากราคาอาหารและพลังงานที่สูงขึ้น และผลกระทบมาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า สะท้อนว่ารอบนี้ความเสี่ยงและผลกระทบมาหลายมิติ และปีหน้าความไม่แน่นอนและความเสี่ยงเหล่านี้ก็ยังอยู่

cr : www.kasikornresearch.com

ที่สำคัญ หนี้ครัวเรือน กำลังจะเป็นโจทก์และท้าทายรัฐบาลในปีหน้า ล่าสุดจากการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า หนี้ครัวเรือนไทยสิ้นปี’65 จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 89.3% ต่อจีดีพี คิดเป็นมูลค่าหนี้ครัวเรือน 14.97 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 16 ปี มูลค่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจจะเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่ดีนัก

ความหวังในปีหน้า จึงอยู่ที่เครื่องยนต์รองคือ “การท่องเที่ยว” จะมาเป็น “เครื่องยนต์หลัก” เพียงตัวเดียวในการหารายได้ในปีหน้า คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยในปี 2566 อาจจะวิ่งไปที่ประมาณ 20 ล้านคน เปรียบเทียบกับปีนี้ที่ราวๆ  10 ล้านคนเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยเป้าหมายหลักคือ นักท่องเที่ยวจากจีน เราเริ่มจะเห็นแสงสว่างจากมาตรการที่รัฐบาลจีนได้ผ่อนคลายการเดินทางมากขึ้น แต่จะนำไปสู่การเปิดทางให้นักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศหรือไม่ คงต้องลุ้นกันต่อไป

ยังไงปีใหม่นี้ หลังจากฉลองกันอย่างมีความสุขแล้ว คงต้องกลับมาตั้งหลักให้ดี ตั้งการ์ดไว้สูงๆ อย่าให้การ์ดตก เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจปีหน้ายังผันผวนและท้าทาย…รออยู่

…………………..

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

#ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี #GCเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข #GCChemistryforBetterLiving

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img