วันเสาร์, เมษายน 27, 2024
หน้าแรกCOLUMNISTSม็อบ!!ระเบิดเวลาใหม่ ยิ่งนานยิ่งฉุดเศรษฐกิจ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ม็อบ!!ระเบิดเวลาใหม่ ยิ่งนานยิ่งฉุดเศรษฐกิจ

สถานการณ์การชุมนุมในเวลานี้…กำลังจะกลายเป็น ระเบิดลูกใหญ่ ที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก หากผู้บริหารประเทศไม่สามารถแก้ปัญหาให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วที่สุด

เพราะระเบิดเวลาลูกนี้!! กำลังทำลายบรรยากาศของความเชื่อมั่นของทั้งคนในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศที่ต่างรอคอยการเข้ามาลงทุนในไทย

รวมทั้งยังทำลายบรรยากาศ ในการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ผ่านสารพัดโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ มาตรการเติมเงินผ่านบัตรคนจน อีกคนละ 500 บาท เป็นเวลา 3 เดือน มาตรการโคเพย์ หรือคนละครึ่ง ที่รัฐบาลช่วยจ่ายเงินในการจับจ่ายซื้อของวันละ 150 บาท ไม่เกิน 3,000 บาท

นอกจากนี้ยังมี มาตรการช้อปดีมีคืน ที่คณะรัฐมนตรีเพิ่งมีมติเห็นชอบออกมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถนำค่าซื้อสินค้าและบริการ ตามที่รัฐกำหนด มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามมูลค่าจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท

ทั้งนี้ รัฐบาลได้คาดหมายไว้ว่า อย่างน้อยทั้ง 3 โครงการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ จะทำให้มีกระแสเงินหมุนเวียนในระบบได้ไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท และยังช่วยกระตุ้นจีดีพีของประเทศได้อย่างน้อย 0.54%

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถทัดทาน หรือไม่สามารถแก้เกมส์ได้ทัน ไม่ว่าจะเป็น เกมส์เผชิญหน้า หรือ เกมส์ใต้ดิน กับ บรรดาผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ก็ยิ่งทำให้ภาวะเศรษฐกิจไทยยิ่งหดตัวดิ่งลึกลงไปมากกว่านี้อีก

อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ คาดกันว่าสถานการณ์ทุกอย่างอาจจบลงได้ภายใน 3-5 วัน ในช่วงนี้ก็ต้องติดตามสถานการณ์กันแบบวันต่อวัน ว่า ทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับ ทันเกมส์กันมากน้อยเพียงใด

อย่าลืมว่า ปัญหาเศรษฐกิจในเวลานี้กำลังซึมลึกลงไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการชุบชีวิตบรรดารายเล็กรายย่อย เอสเอ็มอีต่าง ๆ ที่ทุกฝ่ายกำลังดิ้นรนพยายามหาทางแก้หนี้ให้

ในเวลานี้…ข้อตกลงระหว่างสภาพัฒน์ แบงก์ชาติ สมาคมแบงก์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ยังไม่มีข้อยุติอย่างจริงจัง หรือแบบสะเด็ดน้ำจริง ๆ เพราะต้องรอให้คณะอนุกรรมการ ตั้งโต๊ะเจรจาในรายละเอียดให้ชัดเจนก่อน

แม้แนวทางการพักหนี้ที่แบงก์ชาติประกาศออกมากำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 22 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นมาตรการที่ให้การช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท จำนวน 1.17 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นมูลหนี้ประมาณ 2.25 ล้านล้านบาท

แต่อย่าลืมว่า ยังมีรายเล็ก-รายน้อย ที่ไม่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก ที่ก็ยังรอคอยช่วยเหลือจากภาครัฐด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ…สารพัดปัญหาที่ไม่สามารถทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ที่ถือเป็นสาเหตุสำคัญ

นอกจากนี้ ได้มีการประเมินกันว่า ในบรรดาลูกหนี้ทั้งหมด มีประมาณ 60% ที่ประเมินแล้ว มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ โดยลูกหนี้เหล่านี้อยู่ในสถานะ “สีเขียว” ที่อาการไม่น่าเป็นห่วง แต่อาจเพิ่มแรงจูงใจให้เพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้จ่ายหนี้ เช่น การลดดอกเบี้ยให้ถูกลง

ส่วนกลุ่มลูกหนี้ ที่ได้แสดงความต้องการเข้าร่วมมาตรการพักหนี้ต่อไปอีก ก็มีอยู่ประมาณ 30% โดยกลุ่มนี้ กลายเป็น กลุ่มลูกหนี้สีเหลือง ที่อยู่ในสถานะการเฝ้าระวัง ซึ่งอาจให้พักหนี้ต่ออีก 2 ปี แต่มีเงื่อนไขว่า ให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยและพักเงินต้นไป หรืออาจจ่ายแค่ 10% ของดอกเบี้ย เป็นต้น

ที่เหลืออีกประมาณ 10% ที่คาดการณ์กันว่า ไม่มีความสามารถในการจ่ายหนี้ได้ และต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ เท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้ถือว่าต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง โดยอยู่ใน กลุ่มสีแดง

แม้เวลานี้ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงแนวทางการอุ้มชู แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า บรรดาลูกหนี้เอง บางคนบางรายก็ถือโอกาส ไม่ใช้หนี้คืน ทั้งที่มีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้

ด้วยเหตุนี้…ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ เอง ต่างยืนยันกันอย่างพร้อมเพรียงที่ต้องการแก้หนี้ให้กับลูกหนี้เป็นราย ๆ ไป มากกว่าที่ออกมาตรการเป็นการทั่วไป

ทั้งหลายทั้งปวง!! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการชุมนุมประท้วง หรือการหามาตรการแก้ไขหนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คงต้องให้ความร่วมมือและพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้ปัญหาลุล่วง ไม่ใช่ฉวยจังหวะหรือฉวยโอกาส เพียงแค่หาประโยชน์ใส่ตัวเองเท่านั้น !!
…………………………..
Ec Focus By Virgo

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img